“บิ๊กเต่า” เผยคืบหน้าคดีดิไอคอนกรุ๊ป ยืนยันจะมีความชัดเจนในเรื่องฃนักร้อง ก. สัปดาห์นี้ ลั่น เอก สายไหมต้องรอด เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยหลังประชุมคืบหน้าทางคดี ดิไอคอนกรุ๊ป ระบุว่า วันนี้ประชุม 4 เรื่องเป็นหลัก เรื่องแรกเรื่องนางกฤษอนงค์ นักร้องเรียนหญิง ปมคลิปเสียงเรียกเงิน ในตอนนี้เนื้อหาพยานหลักฐานคืบหน้าไปได้เยอะแล้ว หลังจากนี้จะมีการสอบปากคำพยานเพิ่มอีกสองปาก พนักงานสอบสวนยืนยันอาทิตย์นี้จะมีความชัดเจนในเรื่องนี้
เรื่องที่สองคือเรื่องนายสามารถ นักการเมือง ขณะนี้พบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงแล้ว แต่ยังรอคำสั่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล รอไทม์ไลน์ตามหลักฐานเป็นตัวตั้ง แม้ผู้เสียหายไม่อยากดำเนินคดีกับนายสามารถ แต่เจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างไรคงต้องรอดู เพราะมีคลิปเสียงเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งจะเข้าข่ายความผิด ม.148 ของป.ป.ช. หรือไม่ หรือจะเป็นเรื่องกรรโชกทรัพย์ คงต้องคุยกับนักกฎหมายอีกครั้งให้ชัดเจน
ส่วนคุณแม่ของนายสามารถ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีมาสองปี ปรากฏว่า มีเส้นเงินโอนจากบัญชีบอสพอล 600,000 กว่าบาท กำลังตรวจสอบย้อนหลังอีกหลายปีว่ามียอดตรงไหนเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่ รวมไปถึงเรื่องราวร้องเรียนที่เกิดขึ้นว่า มีการนัดเคลียร์เจรจากันหรือไม่ เชื่อว่ากลุ่มคนเหล่านี้คงช่วยเหลือบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป หลังจากนี้จะเรียกคุณแม่มาให้การ
ส่วนเรื่องเอกสายไหม ต้องรอด ตอนนี้สอบพยานไว้เยอะแล้ว สรุปอาจจะเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนพยานเท็จขอประชุมอีกครั้งว่า มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไรก็ตามตนมองในเจตนาเป็นหลัก หลังจากนี้ให้มันจบเป็นเรื่อง ๆ ไป
อีกประเด็นคือ เรื่องทนายตั้ม ที่น้องสาวของทนายตั้ม เอาหลักฐานของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากบริษัทดิไอคอน มาประมาณ 60 กว่าคน มายื่นเป็นหลักฐาน ตั้งแต่วันที่ 1 – 14 ตุลาคม 67 กำลังตรวจสอบความเสียหายจริง ว่าผู้เสียหายติดต่อ บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ต้องดูเจตนารมย์เป็นหลัก ว่าช่วงที่เรียกเงิน 7.5 ล้านบาทจากบอสพอล นั้นเป็นการเข้ามาขอความช่วยเหลือจากผู้เสียหายเองหรือไม่ หรือเรียกไปอย่างไร และจะต้องดูว่าผู้เสียหายได้ว่าจ้างให้ทนายตั้มมาช่วยทำคดีหรือไม่ หรือเป็นค่าช่วยเหลือค่าดำเนินการอะไร เดี๋ยววันพุธนี้ (13พ.ย.67) จะมีการประชุมตอนบ่ายอีกครั้งนึง
ยืนยันตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชน ไม่ใช่ชมรมหรือกลุ่มที่ตั้งตนช่วยเหลือ แต่กลับเรียกทรัพย์สินของผู้เสียหาย ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยากให้ใช้ตำรวจให้เป็นประโยชน์ เพราะตำรวจเข้ามาทำงานให้อยู่แล้ว แต่เพจหรือชมรมต่างๆที่ตั้งใจทำเพื่อส่วนรวมต้องขอขอบคุณจริง ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน