ปปง.ปิดบัญชีม้ากว่า 3 แสนบัญชี เตือนปชช.รับจ้างเปิดบัญชีมีโทษจำคุก
ปปง. ระงับบัญชีม้า 3 แสนบัญชี มูลค่ากว่า 923 ล้านบาท ตั้งเป้าตัดวงจรครบ 1 ล้านบัญชีในปีนี้ ฝากเตือนประชาชนรับจ้างเปิดบัญชีม้าเป็นความผิดอาญา มีโทษจำคุก
วันนี้ (24 เม.ย.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. พร้อมด้วย นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. และ คณะรองโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. ร่วมแถลงผลการดำเนินการป้องกันและปราบปรามขบวนการเปิดบัญชีม้า
นายเทพสุ เปิดเผยว่า สำนักงาน ปปง. เป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนและผลักดันการแก้ไขอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและบัญชีม้าร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ การเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 กำหนดให้สถาบันการเงินมีหน้าที่อายัดบัญชีที่ตรวจพบว่ารับโอนเงินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือเป็นบัญชีม้า และกำหนดความผิดอาญาฐานรับจ้างเปิดบัญชีม้า
นายเทพสุ เผยว่า ต่อมา สำนักงาน ปปง. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกันเสนอต่อรัฐบาลที่แล้วให้มีการออกพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อกำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ มีหน้าที่อายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและบัญชีม้า รวมทั้งกำหนดให้การรับจ้างเปิดบัญชีม้าเป็นความผิดอาญา อันเป็นหลักการเดียวกันกับหลักการที่สำนักงาน ปปง. เคยเสนอไว้
นายเทพสุ เผยอีกว่า ปปง. ยังร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งศูนย์ AOC 1441 เพื่อให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาภัยออนไลน์สำหรับประชาชน โดยมีเป้าหมายในการระงับ อายัดบัญชีของคนร้ายให้ผู้เสียหายทันที ติดตามสถานะการแก้ไขปัญหาให้ผู้เสียหายทุกขั้นตอน เร่งการคืนเงินให้ผู้เสียหาย และเพิ่มประสิทธิภาพการจับกุม ดำเนินคดีและการขยายผลคดี ซึ่งจากสถิติข้อมูลที่ศูนย์ AOC ได้รับเรื่องเพื่อประสานให้ระงับธุรกรรมกับธนาคาร 16 แห่ง (ข้อมูลวันที่ 1 ต.ค.66 – 31 มี.ค.67) บัญชีม้าถูกอายัด จำนวน 140,819 บัญชี และจำนวนเงินที่ระงับธุรกรรมได้ จำนวน 4,034,777,117 บาท
“อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีรายชื่อบุคคลแล้วรวม 33,359 ราย และจำนวนบัญชีที่ถูกจำกัดช่องทางการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แล้ว 324,607 บัญชี ต้องมาทำธุรกรรมหน้าเคาเตอร์ธนาคารเท่านั้น มูลค่าเงินในบัญชี รวมทั้งสิ้น 923,991,374.23 บาท โดยตั้งเป้าหมายการแก้ปัญหาบัญชีม้า ภายในสิ้นปี 2567 ให้ครบจำนวน 1 ล้านบัญชี”
ด้าน นายพีรธร วิมลโลหการ ผู้อำนวยการกองกำกับและตรวจสอบ ปปง. กล่าวว่า กรณีการรับจ้างเปิดบัญชีม้า สำนักงาน ปปง. ขอแจ้งเตือนประชาชน ดังนี้ (1) ท่านจะถูกดำเนินคดีฐานรับจ้างเปิดบัญชีม้าตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (2) ผู้ที่ถูกนำบัญชีไปใช้จะถูกดำเนินคดีในฐานะตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุนตามฐานความผิดที่คนร้ายนำบัญชีของท่านไปใช้ เช่น ฉ้อโกง กรรโชก รีดเอาทรัพย์ หรือความผิดทางอาญาอื่นใด
นายพีรธร กล่าวอีกว่า (3) ท่านจะมีประวัติอาชญากรรมติดตัว ส่งผลต่อการไปสมัครงานหรือสมัครเรียนในอนาคตอย่างแน่นอน (4) ท่านจะถูกดำเนินคดีหลายท้องที่ ต่างกรรม ต่างวาระ ตามพื้นที่ที่ผู้ร้ายนำบัญชีของท่านไปใช้ (5) ท่านจะถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหายที่เป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (6) หากบัญชีของท่านถูกใช้ในการกระทำความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ท่านจะถูกตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินและถูกยึดทรัพย์ และ (7) หากบัญชีของท่านถูกใช้ในการโอนหรือรับโอนทรัพย์สินเพื่อช่วยฟอกเงินให้กับคนร้าย ท่านจะถูกดำเนินคดีฐานฟอกเงินเพิ่มเติมอีกฐานหนึ่งข้อหานอกเหนือจากข้อหารับจ้างเปิดบัญชีด้วย
นายพีรธร กล่าวต่อว่า สำนักงาน ปปง. ได้หารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อกำหนดแนวทางในการเปิดบัญชีธนาคาร โดยเฉพาะการสร้างเงื่อนไขในการเปิดบัญชีให้ยากขึ้นเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ เพื่อให้ลูกค้ามีบัญชีเท่าที่จำเป็น อันเป็นการยกระดับมาตรการรู้จักลูกค้า (KYC) ให้เข้มขึ้น ตั้งแต่ในชั้นการขอเปิดบัญชีและการขอเปิดบัญชีเพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว โดยต้องระบุวัตถุประสงค์ของการเปิดบัญชีใหม่ให้มีความชัดเจนว่าจะนำไปใช้ทำธุรกรรมใด อันเป็นการป้องกันการรับจ้างเปิดบัญชีม้า และเมื่อพบธุรกรรมต้องสงสัยสถาบันการเงินต้องพิจารณาระงับธุรกรรมนั้น ตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 รวมทั้งให้รายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยมายังสำนักงาน ปปง. โดยมาตรการดังกล่าว เป็นมาตรการคู่ขนานกับกรณีที่ กสทช. ออกประกาศกำหนดให้ผู้ถือครองซิมจำนวนมากตั้งแต่ 6 เลขหมายขึ้นไปมายืนยันตัวตนโดยประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.67 เป็นต้นไป
“หากผู้ถือครองซิมการ์ดรายใดไม่มายืนยันตัวตนในระยะเวลาที่กำหนด หมายเลขจะถูกระงับการใช้งานและถูกเพิกถอนการใช้เพื่อป้องกันมิจฉาชีพนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมออนไลน์ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์, บัญชีม้า และภัยจากออนไลน์ทุกรูปแบบที่ต้องผ่านการใช้ซิมโทรศัพท์จำนวนมาก ทั้งนี้ ในส่วนของสำนักงาน ปปง. ในฐานะหน่วยงานกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินจะดำเนินการกับสถาบันการเงินที่ปล่อยปละละเลยต่อมาตรการดังกล่าวตามกลไกของกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเคร่งครัดต่อไป”










