นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2565 ใจความว่า ความยุติธรรมมีอยู่จริงแต่ต้องแสวงหา และ รอคอย… ผ้าสีขาว ยังไงมันก็ขาว ต่อให้มีคนเอาสีดำมาป้าย พอฝนตกน้ำล้าง ผ้ามันก็กลับมาขาวเหมือนเดิม
วันนี้ตนเองได้รับความยุติธรรมแล้ว จากกรณีที่ได้แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เนื่องมาจากมีข่าวว่าถูกร้องเรียนส่งลูกน้องไปเรียน-สอบหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้น ซึ่งไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด
บัดนี้ กองกิจการนักศึกษา งานวินัยนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ส่งหนังสือมาถึงตนเองเมื่อวันที่ 1ก.ค.2565 แจ้งผลการพิจารณาสอบวินัยนักศึกษา โดยส่งหนังสือบันทึกข้อความเลขที่ อว.0601.0101/งปพ.734 ลงนามโดย ผศ.เตมีย์ ระเบียบโลก รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ประธานกรรมการสอบวินัยนักศึกษา โดยลงวันที่ 22 มิถุนายน 2565 มีเนื้อหาว่า ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ 3437/2564 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2564 เรื่องการแต่งตั้งกรรมการสอบวินัยนักศึกษานั้น บัดนี้ คณะกรรมการสอบวินัยนักศึกษา ได้พิจารณาและรายงานผลการสอบวินัยนักศึกษาต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการสอบวินัยนักศึกษา เสนอให้ยุติเรื่อง ตามนัยมติที่ประชุม ก.บ.ม.ร.ครั้งที่ 14/2556 วาระที่ 5.53 วันที่ 8 มิถุนายน 2565
ดังนั้นจากกรณีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้มีหนังสือส่งมาแจ้งให้ทราบถึงผลการสอบ ว่าตนเองไม่มีความผิดทางวินัยนักศึกษาและไม่ถูกตัดสิทธิ์อะไรทั้งสิ้น เพราะเรื่องที่สอบสวนไม่มีมูล จึงต้องยุติเรื่อง
สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบของมหาวิทยาลัยที่ใช้เวลานานนั้น เนื่องมาจากทางคณะกรรมการสอบสวนได้สืบหาข้อมูลจากหลายบุคคลสอบพยานหลายสิบปากเพื่อให้เกิดความกระจ่างและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย มีทั้งเจ้าหน้าที่ อาจารย์ ตำรวจที่ปรากฏชื่อในข่าวและทุกคนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ต่อจากนี้ผมก็ใช้สิทธิตามนักศึกษาปริญญาเอกทุกประการเหมือนไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้น
กรณีที่เกิดขึ้น ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจผิดหรือเป็นเรื่องหวังผลทางการเมือง โดยมีคนเขียนข่าวขึ้นมาแล้วยัดใส่มือนักข่าว ซึ่งมีการเสนอข่าวไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องและเกิดผลเสียกับตน
แต่ตนเองก็เลือกที่จะเงียบและไม่ได้มีการชี้แจงเพราะคิดว่าความจริงก็คือความจริง ซึ่งครั้งนั้นก็ได้แสดงสปิริตลาออกเองจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม และพรรคพลังประชารัฐไม่ได้มีหนังสือปลดตนจากผอ.ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์พรรคฯ แต่เป็นเพียงมติคณะกรรมการสอบสวนเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่มติของพรรค อย่างเช่นล่าสุดกรณี ส.ส.อาพิเชษฐ์ ก็ไม่เคยยอมรับมติกรรมการสอบสวนเช่นเดียวกัน
ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกเสียดายตำแหน่ง แต่เสียดายโอกาส 1 ปี 1 เดือนที่ควรจะสามารถช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ถูกหลอกลวงฉ้อโกงจากมิจฉาชีพแชร์ลูกโซ่ แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ระบาดเพิ่มขึ้นมากมายทุกวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คะแนนนิยมพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลดลงด้วยเช่นกัน
จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตตนขออโหสิกรรมให้ทุกคน แต่หลังจากนี้สื่อไหนที่ลงเผยแพร่เรื่องดังกล่าวขอให้ลบข้อมูลทิ้งให้หมด ที่ทราบมี workpoint คมชัดลึก ขอให้ลบภายใน 15 วัน ไม่งั้นจะให้ทีมกฏหมายยื่นฟ้องต่อศาล ถือว่าได้แจ้งแล้ว และถ้ามีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก จะให้ทีมกฎหมายดำเนินคดีตามกฎหมายฟ้องทั้งแพ่งและอาญา ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏในโซเชียลและมีการแชร์นั้นเป็นการนำข้อมูลอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และผิดประมวลกฏหมายอาญาข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาอย่างชัดเจน ดังนั้น จึงอยากให้สื่อทุกฉบับที่เคยเข้าใจผิดให้ลบข้อมูลนี้ทิ้งด้วย เพราะคิดว่าคงเป็นเรื่องการเมือง ณ เวลานั้น ซึ่งไม่ติดใจและก็ไม่อยากจะเอาผิดใคร
และหลังจากนี้จะทำหนังสือกราบเรียนท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แจ้งให้ท่านทราบข้อมูล ซึ่งตนมองว่าวันนี้ความบริสุทธิ์ยุติธรรมเกิดขึ้นกับตน หลังจากที่ใช้เวลาต่อสู้ยาวนานมาถึง 13 เดือน โดยต่อสู้ในฐานะประชาชนและไม่ได้ใช้อำนาจในทางการเมือง เพราะตนยื่นลาออกจากตำแหน่งแล้วตั้งแต่ 1 พ.ค.2564 ก่อนจะมีคำสั่งของกรรมการสอบสวนเสียอีก เพื่อต้องการให้กระบวนการยุติธรรมโปร่งใสและเป็นธรรม โดยตนเองต่อสู้ในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และในวันนี้ความจริงก็ปรากฏแล้ว ในทางการเมืองพลเอกประวิตร ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเมตตาและให้ความเป็นธรรมกับทุกคนอยู่แล้ว ดังนั้น หลังจากนี้ตนคิดว่าท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องให้ความเป็นธรรมและคืนความชอบธรรมให้กับตน เพราะพรรคพลังประชารัฐถือว่าเป็นสถาบันทางการเมืองที่เป็นที่พึ่งของพ่อแม่พี่น้องประชาชน ต้องให้ความสำคัญของเรื่องสิทธิและเสรีภาพ
ในช่วงเวลาตลอดช่วง 13 เดือนที่ผ่านมา ก็ทำงานช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชนมาโดยตลอด และยังทำหน้าที่ในกรรมาธิการที่ได้รับการแต่งตั้งจนแล้วเสร็จ อย่างเช่น กรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหายาเสพติด ได้พิจารณาจนจบ และเสนอสภาฯแล้ว ซึ่งถือว่าได้ทำภารกิจให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนจนเสร็จสิ้น รวมทั้งการทำงานในอนุกรรมาธิการในคณะต่างๆตามที่ได้รับมอบหมายจนลุล่วง
อดีตผู้ช่วย รมต.ยุติธรรม ยังโพสต์ทิ้งท้ายอีกว่า ตนเองมองว่าพลเอกประยุทธ์ และพลเอกประวิตร เป็นผู้ใหญ่ที่หวังดีต่อประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งผมคิดว่าบ้านเมืองมีหลายเรื่องที่ต้องแก้ไขปัญหา และหากเห็นว่าตนมีคุณสมบัติก็ยินดี กลับไปทำงานเพราะเชื่อว่าเรื่องไหนมันปัญหาใหญ่ให้ใช้คนเยอะ เรื่องไหนปัญหามันยากให้ใช้คนเก่ง ดังนั้นสำหรับปัญหาการหลอกลวง ฉ้อโกงประชาชนที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบตลอดเพื่อล้วงเงินจากกระเป๋าประชาชนนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งทำ เพราะว่าเป็น 1 ใน 12 เรื่องเร่งด่วนที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา และเชื่อว่าสุดท้ายนั้นเป้าหมายของมิจฉาชีพคือเงิน ซึ่งผลลัพธ์ไม่เคยเปลี่ยน ซึ่งการแก้ปัญหานั้นจะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำงานเชิงรุก และแก้กฎหมายให้มีความทันสมัยในการดำเนินจัดการกับอาชญากรทางการเงินทุกรูปแบบ เพราะกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันบทลงโทษไม่รุนแรงและฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ทำงานช้า จึงทำให้อาชญากรไม่เกรงกลัวต่อบทลงโทษ แล้วผลร้ายตกมาที่พ่อแม่พี่น้องประชาชน ตนขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่สู้เพื่อความยุติธรรม ความยุติธรรมมีอยู่ แต่ทุกท่านต้องสู้ แล้วจะชนะ ตนพร้อมยืนเคียงข้างไปพร้อมกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคน
