ตำรวจกองปราบจับ “ธนวัฒน์” ผู้ต้องร่วมฆ่าสาวไทยในไต้หวัน สารภาพร่วมก่อเหตุกับ “สันติ” ปมเหตุขัดแย้งธุรกิจในไต้หวัน ตำรวจเร่งติดตามตัว “สามารถ” ที่ยังหลบหนีอีกคน สัปดาห์หน้าส่งทีมกองปราบร่วมสืบสวนที่ไต้หวัน
วันนี้ (19 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ กองบังคับการปราบปราม เจ้าหน้าที่ตำรวจตำรวจกองบังคับการปราบปราม ควบคุมตัวนาย ธนวัฒน์ พุ่มเข็มทอง ผู้ต้องหาตามหมายจับความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมาสอบสวน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุฆาตกรรมสามี ภรรยา ที่กำลังตั้งครรภ์ที่ไต้หวัน ก่อนหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย
การจับผู้ต้องหาครั้งนี้ หลังจากที่ตำรวจได้จับนายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน ได้ที่หมู่บ้านอรุโณทัย อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา และจากการสอบสวนนายสันติ ให้การว่าร่วมก่อเหตุกับเพื่อนอีก 2 คน หนึ่งในนั้นคือนานธนวัฒน์ โดยสามารถจับได้ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ เบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้ร่วมก่อเหตุกับนายสันติ โดยใช้ท่อนเหล็กตีที่ผู้เสียชีวิตจากนั้นได้นำศพขึ้นรถเก๋งไปทิ้ง และหลบหนีเข้ามาประเทศไทย
พลตำรวจโทจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า นายธนวัฒน์ หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยนายสันติเป็นคนซื้อตั๋วเครื่องบินให้ เนื่องจาหเห็นว่าเป็นข่าวใหญ่ในไต้หวัน โดยนายสันติเป็นคนที่วางแผนก่อเหตุทั้งหมด โดยให้ผู้เสียชีวิตทั้งสองมาหาที่บ้านพักคนงาน ซึ่งนายสันติเป็นพ่อบ้านและว่าจ้างให้ทั้งสองคนมาก่อเหตุ และสัญญาว่าจะให้ค่าจ้างคนละ 5 แสนบาท แต่ได้ให้เงินไปเพียง 2 หมื่นบาท
ขณะที่คำให้การของผู้ต้องหาที่อ้างว่าปมขัดแย้งมาจากที่นายสันติ ขัดแย้งจากปัญหาธุรกิจที่ทำด้วยกัน ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด และตั้งมูลเหตุการก่อเหตุครั้งนี้ไว้ 2-3 ประเด็น ซึ่งก็เป็นไปได้หมด ส่วนจะเป็นความขัดแย้งเรื่องยาเสพติดหรือไม่นั้น ตำรวจมีข้อมูลในการสืบสวนของทั้งผู้เสียชีวิต และผู้ต้องหา แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด
สำหรับผู้ต้องหาอีกคนหนึ่งคือนายสามารถ ขณะนี้ตำรวจกำลังติดตามตัว และใกล้จับตัวได้แล้ว กำลังตรวจสอบว่าหลบหนีอยู่ในประเทศหรือออกนอกประเทศไปแล้ว รวมทั้งกำลังตรวจสอบว่ามีผู้ใดช่วยเหลือหรือไม่
นอกจากนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้ตำรวจกองปราบปราม 6 นาย ไปร่วมสืบสวนกับตำรวจไต้หวัน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง มูลเหตุในการก่อเหตุครั้งนี้ แต่จนถึงขณะนี้ยังมีผู้ร่วมก่อเหตุเป็นคนไทย 3 คน ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในไทยทำได้เพียงคดี ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดนไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนคดีอำพรางศพเป็นคดีในไต้หวัน
ส่วนคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร การดำเนินคดีจะต้องรายงานไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดด้วย ซึ่งหากมีการจับผู้ต้องหาครบแล้วก็จะรายงานตามขั้นตอน และดำเนินคดีตามกฎหมาย
ขณะที่นายยิ่งยศ แซ่หลี่ พี่ชายของผู้เสียชีวิต กล่าวขอบคุณตำรวจกองปราบปราม และผู้ที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนติดตามตัวผู้ต้องหาในครั้งนี้ และยืนยันว่าน้องสาวไม่เคยเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย หรือยาเสพติด ส่วนตัวไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหา เนื่องจากน้องสาวเป็นคนขยันทำงาน ขายอาหารเก็บเงินเก่ง และมีรายรับจำนวนมาก ส่วนการดำเนินคดีก็ขอให้ดำเนินคดีในไทยตามกระบวนการของกฎหมาย