“เสธ.หิ”ลั่นอยู่ข้าง “ลุงตู่” ร้อยเปอร์เซ็นต์ ประกาศช่วยรวมไทยสร้างชาติ”
“เสธ.หิ”ลั่นอยู่ข้าง “ลุงตู่” ร้อยเปอร์เซ็นต์ ประกาศช่วยรวมไทยสร้างชาติ ส่งสัญญาณถึง กกต.ตั้งคำถาม 3 ข้อ ย้อนแย้งเรื่องสิทธิ
เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.65 นายหิมาลัย ผิวพรรณ หรือ เสธ.หิ อดีตนายทหารชื่อดังและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงการทำงานการเมืองของตนเองว่า ตนไปช่วยงานการเมืองพรรครวมไทยสร้างชาติแน่นอน แต่เป็นการไปช่วยส่วนตัว ในฐานะกองเชียร์ และไม่ได้มีตำแหน่งในพรรค
เมื่อถามว่าอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ใช่หรือไม่ นายหิมาลัย กล่าวด้วยเสียงหนักแน่นว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว เพราะการทำงานของตนยึดหลัก 3 ประการ คือ กตัญญู สัจจะ และการเมือง ในฐานะที่เคยเป็นรุ่นน้องทหารเสือราชินี ร.21 รอ.กับ พล.อ.ประยุทธ์ จึงถือเรื่องนี้เป็นสำคัญ รวมทั้งการรักษาสัจจะในการทำงานการเมืองด้วย
นายหิมาลัย กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่า พรรครวมไทยสร้างชาติมีโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้งมากกว่าจากที่มีการประเมินกัน แต่ตอนนี้ยังฟันธงไม่ได้ เพราะต้องรอกฎหมายลูกประกาศใช้ มีการแบ่งเขตเลือกตั้ง และการออกระเบียบต่างๆ ให้จบก่อน แต่จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทำให้เกิดความสงสัย และเกิดคำถาม 3 ข้อ คือ
1.ไม่ควรจัดเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร เพราะเมื่อคนไทยในประเทศเลือกผู้สมัครคนนี้มา แต่บัตรเลือกตั้งจากต่างประเทศมาเปลี่ยนผลการเลือกตั้งในประเทศ อย่างนี้เป็นตรรกะที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะคนที่เลือกในต่างประเทศ เขาก็ไม่ได้มาเสียภาษีให้กับประเทศไทย แต่คนที่ได้รับผลกระทบคือคนที่อยู่ตรงนี้ แต่เลือก ส.ส.ของตัวเองไม่ได้ คนที่ได้เป็น ส.ส.ก็ไม่ตรงกับความต้องการของคนในเขตนั้น หากคนที่อยู่ต่างประเทศต้องการรักษาสิทธิของตนเอง ก็ควรกลับมาเลือกตั้งในประเทศไทย
2.ไม่ควรจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า เพราะถือเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ ถ้าจะจัดก็ควรให้สิทธิเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในวันเลือกตั้งจริงเท่านั้น หากคนไทยให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยและสิทธิของตัวเองจริง ก็ควรออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งได้ในวันเลือกตั้งจริง
3.การกำหนดผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุ 18 ปีขึ้นไป ลงคะแนนกำหนดอนาคตประเทศชาติได้ แต่กลับเลือกอนาคตของตัวเอง เนื่องจากต้องรอบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายในช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป
“การเมืองในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงช่วง 4 ปีที่ผ่านมา หลังการเลือกตั้งปี 62 ที่มีคนรุ่นใหม่มีสิทธิเลือกตั้งมากขึ้น และให้ความสำคัญกับนโยบายพรรคมากขึ้นด้วย แต่ขอตั้งข้อสังเกตอีกเรื่องคือ การให้บุคคลอายุ 18 ปีขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้งชี้ชะตาอนาคตประเทศได้ แต่ขณะเดียวกันกฎหมายประเทศไทยระบุให้ผู้ที่บรรลุนิติภาวะ ต้องอายุ 20 ปีขึ้นไป จึงจะสามารถทำนิติกรรมในทางกฎหมายได้ ถือเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกัน สรุปก็คือ กำหนดอนาคตประเทศได้ แต่กลับกำหนดอนาคตตัวเองไม่ได้ ผมไม่ได้เรียกร้องให้หน่วยงานไปพิจารณา แต่เป็นข้อสงสัย และเป็นคำถามที่เกิดขึ้น” เสธ.หิมาลัย กล่าว







