ภายหลังจากที่วันนี้ (9 พ.ค.65) นาย อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้แถลงข่าวเปิดหลักฐานที่เกี่ยวกับคดีนักแสดงสาวแตงโม-นิดา โดยมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่อ้างว่าแพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ ได้ลักลอบนำศพของแตงโมออกมาทดสอบเปรียบเทียบลักษณะบาดแผลกับใบพัดเรือ ในบริเวณสถานที่โล่งแจ้ง ทางเชื่อมหลังสถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ เป็นสถานที่สกปรกไม่ถูกหลักการแพทย์ โดยไม่ได้มีการแจ้งแก่นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน หรือคุณแม่ของแตงโม รวมถึงทนายความ (ซึ่งขณะนั้นคือนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย) ในฐานะเจ้าของศพเจ้าของทรัพย์สิน ถือว่าเป็นการลักศพ และยังมีการเปิดเผยแชตการสนทนาในแอปพลิเคชั่นหนึ่ง โดยนายอัจฉริยะอ้างว่าเป็นข้อความคำสารภาพของ ผอ.สถาบันนิติเวช รพ.ตร. กับอดีตศัลยแพทย์ รพ.พระมงกุฎเกล้า ว่าทาง ผบ.ตร. ได้รับทราบถึงเรื่องดังกล่าวแล้ว รวมถึงมีการเปิดเผยคลิปเสียงที่เป็นการพูดคุยระหว่างนายตี๋และบุคคลที่อ้างว่าเป็นเพื่อนของนายปอ-ตนุภัทร
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 9 พ.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อุดร ยอมเจริญ รองผบช.ภ.1 ในฐานะโฆษกคดีแตงโม ได้ร่วมกันแถลงข้อเท็จจริงชี้แจงถึงการเปิดเผยหลักฐานทางคดีแตงโมของกลุ่มบุคคลดังกล่าว
พล.ต.ต.ยิ่งยศ เปิดเผยว่า จากการที่มีกลุ่มบุคคลหนึ่งได้ออกมาแถลงถึงคดีแตงโมนั้น ถือเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ทำให้เข้าใจไม่ครบบริบท สิ่งที่กล่าวหาทั้งหมด ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และที่สำคัญอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม พร้อมยืนยันว่าได้มีการส่งสำนวนให้อัยการจังหวัดนนทบุรีเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจะนำมาชี้แจงทั้งหมดไม่ได้ แต่จะชี้แจงแค่เพียงในหลักการเท่านั้น เนื่องจากสำนวนอยู่ในอำนาจของอัยการ ซึ่งอาจจะกระทบกับสาระสำคัญทางสำนวนและคดีได้
สำหรับการอ้างอิงพยานผู้ชำนาญการทั้งหมด ทั้งผู้ชำนาญการเรือ หรือจีพีเอสต่างๆ เจ้าหน้าที่อ้างอิงด้วยหลักกฎหมายทั้งสิ้น โดยมีกลุ่มบุคคลที่รับรองผู้ชำนาญการเหล่านี้ ซึ่งผู้ชำนาญการของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดสามารถให้ถ้อยคำในชั้นศาลได้ โดยมีทั้งมาจากในหน่วยและนอกหน่วยหลายๆองค์กร ไม่ใช่การนำเอาคนคนเดียวมาทดสอบสมมติฐานในคดี และเป็นพยานผู้ชำนาญที่มีการรับรอง มีอำนาจหน้าที่สามารถให้ถ้อยคำในชั้นศาลได้ ดังนั้น จะเอาคนมาแอบอ้างให้ถ้อยคำในคดีของเราไม่ได้ ยืนยันว่ามีที่มาอย่างถูกต้อง
ส่วนคดีนี้ที่มีคนตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัย มีการแสดงความเห็นนั้น ถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่มีปัญหาใด แต่ถ้าทำให้เสียหาย ก็จะต้องพิจารณาดำเนินการทางกฎหมาย แต่ถ้าเป็นความเห็นในทางสังคม เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ สามารถอ้างอิงได้ แต่ถ้ามาแสดงความเห็นที่กระทบต่อกระบวนการยุติธรรม ก็จะพิจารณารวบรวมพยานหลักฐานดำเนินการทางคดีต่อไป
ส่วนการนำความลับทางราชการมาเปิดเผยนั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างพิจารณารวบรวมพยานหลักฐานอยู่ ถ้าหากพบว่าส่งผลเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม ก็จะพิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไป
ส่วนข้อมูลบางส่วนที่นำมาเสนอนั้น พบว่าไม่ครบบริบท ถ้าเข้าใจครบบริบท จะเข้าใจว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดที่พูด เพราะเป็นการพูดคุยกันของคนสองคน แต่สังคมไม่ได้รับรู้ทั้งหมด ดังนั้น บริบทการพูดคุยมันมากกว่านั้น ไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด
พล.ต.ต.ยิ่งยศ ยืนยันว่า กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่มีใครกล้ากระทำนอกเหนือกฎหมาย การสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานนั้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ส่วนคำว่า ลักศพนั้น ในกรณีทั่วไป หากวัตถุพยานที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานและยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวน พนักงานที่มีอำนาจสามารถนำมาตรวจพิสูจน์ได้ ส่วนจำนวนบาดแผลนั้น ไม่เคยมีการพูดถึงจำนวน 11 แผล แต่จำนวนบาดแผล 22 และ 26 บาดแผลนั้น ขึ้นอยู่กับ เทคนิค หลักการ และเวลา โดยวันที่ชันสูตรโดยนิติวิทยาศาสตร์นั้น ก็ไม่มีประเด็นขัดแย้งกัน ยืนยันว่าเป็นเรื่องวิธีคิด เทคนิค เวลา ที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ทำให้สาระสำคัญในคดีเปลี่ยนแปลงไป โดยทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้ใครก็สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญและออกความเห็นได้ หากความเห็นเหล่านั้นทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหาย ก็ต้องถูกดำเนินคดี ทั้งนี้ ตนไม่กังวลใจในการทำงานแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่กระบวนการโซเชียล
ขณะที่ พล.ต.ต.อุดร ยอมเจริญ รองผบช.ภ.1 ในฐานะโฆษกคดีแตงโม เปิดเผยว่า ยืนยันว่าได้ส่งสำนวนคดีให้อัยการไปแล้ว และขอยืนยันว่าตำรวจทำงานด้วยความโปร่งใส ซึ่งหลักฐานบางส่วนที่ถูกตัดต่อ
อาจทำให้ประชาชนไขว้เขว จึงไม่สามารถปล่อยผ่านได้ จึงต้องมาชี้แจงให้ประชาชนเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมว่าตำรวจทำคดีอย่างเต็มที่ และไม่มีกระบวนการใดแอบแฝง ส่วนกรณีที่มีผู้อยู่เบื้องหลังนั้น ผบช.ภ.1 ได้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญการ ซึ่งมีการรายงานเสนอผู้บัญชาการพิจารณา ดังนั้น กรณีที่มีผู้อยู่เบื้องหลัง ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง คดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีประชาชนให้ความสนใจ ตนเชื่อว่าไม่มีใครนำตำแหน่งหน้าที่ไปแลกกับการสั่งการให้คดีบิดเบี้ยว เชื่อว่าทุกคนมีความตั้งใจและมีความมุ่งมั่น
การที่บุคคลนอกคดีเข้าถึงหลักฐานได้นั้น พล.ต.ต.อุดร กล่าวว่า ตำรวจต้องถอดบทเรียน เนื่องจากทุกคนสามารถเข้าสู่ข้อมูลได้ทั้งหมด และสามารถส่งต่อได้ ขอให้พิจารณาว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้น เป็นอาชีพหรือหน้าที่ของตนเองหรือไม่ หากก่อให้เกิดความเสียหาย ก็ต้องถูกลงโทษ โดยหลักฐานที่ส่งให้อัยการนั้นมีมากมาย ข้อมูลต่างๆนั้นเป็นความเห็นของพนักงานสอบสวน ที่ขึ้นอยู่กับพยานบุคคล พยานหลักฐานที่รวบรวมมา เพื่อให้การทำคดีเป็นไปอย่างถูกทิศทาง ยืนยันว่าทำคดีโดยไม่มีอะไรแอบแฝง โดยจำนวนบาดแผลนั้น เมื่อเวลาเปลี่ยนไป บาดแผลบางส่วนก็อาจหายไป จึงไม่เป็นนัยยะสำคัญในคดี ยกตัวอย่างเช่น แผลจะมี 10 แผลในเบื้องต้น ถ้าเป็นแผลถลอก นิติเวชก็จะนับใหม่ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ถ้าแผลจาง จำนวนก็จะลดลง ดังนั้นจำนวนที่หายไปไม่ได้มีนัยยะสำคัญทางคดี
ขณะที่ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 เปิดเผยภายหลังการแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ตนมั่นใจในการทำงานของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยทำคดีอย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำตามกฎหมาย และพยานหลักฐาน ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าตำรวจทำคดีด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา กรณีที่มีผู้กล่าวหาคณะพนักงาน ก็ไม่หวั่นไหวหากมีใครจะฟ้องร้อง ขอให้มั่นใจว่าสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ จากนี้ขอให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำงาน ซึ่งคลิปที่มีการเปิดเผยมานั้นไม่เป็นความจริง คณะทำงานทำตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ
พล.ต.ท.จิรพัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีหลักฐานปรากฎสู่บุคคลภายนอกนั้น ยืนยันว่าไม่มีเกลือเป็นหนอน ใครทำอะไรก็ขอให้รับผิดชอบ ตนไม่เสียกำลังใจแต่อย่างใด ซึ่งการชันสูตรนั้นเป็นไปตามหลักสากล เมื่อถึงชั้นอัยการความจริงจะปรากฎ กระบวนการยุติธรรมไม่ได้จบแค่ที่ตำรวจ ส่วนกรณี 20 ประเด็นที่อัยการสั่งสอบเพิ่มนั้น ตำรวจไม่ได้ทำสำนวนอ่อน แต่เพื่อให้สำนวนมีความรอบคอบมากขึ้น และเป็นอำนาจของพนักงานอัยการอยู่แล้ว ซึ่งถือว่าไม่ใช่จำนวนที่มาก เพราะเป็นคดีที่มีรายละเอียด ทั้งนี้ ตนไม่ทราบเจตนาของบุคคลที่ออกมาแถลงข่าว หากมีหลักฐานอะไรก็ขอให้นำมามอบให้กับตำรวจ หากนำมาให้ตำรวจตั้งแต่ต้น ก็คงได้ช่วยเหลือกัน เพราะตนเองก็ต้องการให้คดีกระจ่าง ตนพูดมาตลอดว่าพร้อมรับหลักฐาน ตั้งแต่ที่ผ่านมา บุคคลดังกล่าวก็ยังไม่เคยนำหลักฐานหรือข้อมูลมามอบให้กับทางตำรวจแต่อย่างใด
/////////////////////