รวบตำรวจนอกรีตเรียกรับเงินจากผู้ต้องหาคดียาเสพติด
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป.,พ.ต.อ.สุมรภูมิ ไทยเขียว รอง ผบก.ปปป.,
พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผกก.4 บก.ปปป.,
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.สไว จันทร์มา สว.กก.4 บก.ปปป., พ.ต.ท.อัครพล ปัทมานุสรณ์
สว.กก.4 บก.ปปป. ร.ต.ต.ณสยาม เกตุรัตน์ รอง สว.(ป.)กก.5 บก.ปปป.(ช่วยราชการ กก.4) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปปป. และเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท.
ได้ร่วมกันจับกุม ดาบตำรวจสง่าฯ อายุ 56 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ที่ 17/2568 ลงวันที่ 23 กันยายน 2568 ความอาญาซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันเรียก รับ หรือยอม จะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ร่วมกันรับเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยรู้หรือควรจะได้รู้ว่าผู้นั้นเกี่ยวข้องกับยาเสพติด, ร่วมกันสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อน หรือขณะกระทำความผิด และร่วมกันรับเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด เพื่อประโยชน์หรือให้ความสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ และร่วมกันกระทำผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, มาตรา 157 มาตรา 161 มาตรา 173 มาตรา 200 ประกอบมาตรา 83 , 91 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 มาตรา 173”
สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้าน ม.3 ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย
สืบเนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้รายงานว่าคณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและทางวินัยอย่างร้ายแรง ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 4 นาย โดยจากผลการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อมีนาคม 2562 เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง
4 นาย ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่จับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดในพื้นที่อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ แต่ได้เรียกรับเงินจากผู้ต้องหาเป็นจำนวน 30,000 บาท เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดี และยังได้ร่วมกันจัดทำบันทึก
การจับกุมอันเป็นเท็จ รวมทั้งมีการปลอมแปลงลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ผู้อื่นในเอกสารราชการ การกระทำดังกล่าวเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157, 161, 173, 200 ประกอบมาตรา 83, 91 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172, 173 ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้ส่งเรื่องพร้อมพยานหลักฐานให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 ภาค 6 เพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 โดยได้นัดผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 รายให้มาพบพนักงานอัยการในวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 แต่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดไม่มาพบตามกำหนด และไม่แจ้งเหตุขัดข้อง รวมทั้งไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้น เพื่อมิให้เสียหายแก่รูปคดี พนักงานอัยการจึงได้ขอให้พนักงาน ป.ป.ท. ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและ
ประพฤติมิชอบภาค 6 เพื่อออกหมายจับ ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ราย
ซึ่งมีพฤติการณ์หลบหนีและมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าได้กระทำความผิดอาญาร้ายแรง มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ได้ประสานมายัง ผบก.ปปป. ขอให้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ กก.4 บก.ปปป. ลงพื้นที่สืบสวนจนกระทั่งพบตัวผู้ต้องหา จึงนำหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ที่ 17/2568 ลงวันที่ 23 กันยายน 2568 ได้อ่านหมายจับของศาลฯและรับว่าเป็นดาบตำรวจสง่าฯ จริง ยังไม่เคยถูกจับมาก่อน และ หมายค้นศาลจังหวัดสวรรคโลก ที่ 35/2568
ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2568 จำนวน 1 จุด จากนั้นได้นำตัวมาลง ปจว.และบันทึกจับกุม ณ สภ.ทุ่งเสลี่ยม
อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย และได้รายงานฝ่ายปกครอง อัยการท้องถิ่น ตามขั้นตอนกฎหมาย จากนั้น นำตัวผู้ต้องหาส่งอัยการคดีปราบปรามการทุจริต 2 ภาค 6 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ
สอบถำมข้อมูลเพิ่มเติม พ.ต.ท.สไว จันทร์มา สว.กก.4 บก.ปปป.
“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน
ให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”











