รวบแก๊งวิดีโอคอลหลอกโหลดแอป อ้างคืนเงินชดเชยที่ดิน ตร.ไซเบอร์อายัดทันเต็มจำนวนกว่า 8 แสน นำคืนผู้เสียหาย
ตามนโยบายของรัฐบาล ได้กำหนดนโยบายในการเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง จตช. ในฐานะ รอง ผอ.ศปอส.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. นำเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด จนนำมาสู่ปฏิบัติการดังกล่าว
วันอังคารที่ 21 ต.ค.68 เวลา 10.30 น. ณ บริเวณชั้น 1 บก.สอท.2 นำโดย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท., พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ คล้ายคลึง รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2, พล.ต.ต.ทรงกลด เกริกกฤตยา ผบก.ตอท. และ พ.ต.อ.สุวัฒชัย ศรีทองสุข รอง ผบก.ตอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว รวบแก๊งวิดีโอคอลหลอกโหลดแอป อ้างคืนเงินชดเชยที่ดิน ตร.ไซเบอร์อายัดทันเต็มจำนวนกว่า 8 แสน นำคืนผู้เสียหาย
สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยขับเคลื่อนโครงการ “Money Cash Back ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ สามารถจับกุมเครือข่ายบัญชีม้าของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ และสามารถติดตามนำคืนให้แก่ผู้เสียหายตามขั้นตอนในโครงการ “MONEY CASH BACK” ไปแล้วหลายครั้ง รวมจำนวนเงินกว่า 250 ล้านบาท
โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ก.ค.68 ได้มีผู้เสียหายเป็นหญิงอายุ 57 ปี รายหนึ่ง ได้รับสายจากมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ อบต.ระโสม อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้เสียหายครอบครองที่ดินไว้ โดยแจ้งว่าหน่วยงานมีการสำรวจที่ดิน จึงให้ยื่นภาษีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้แอดไลน์แล้วส่งเอกสารส่วนบุคคล อาทิ สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาโฉนดที่ดิน, เอกสาร ภดส.3 และแบบฟอร์มบัญชีรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามที่คนร้ายแนะนำ เพื่อรอรับเงินชดเชยค่าโอนที่ดิน
หลังจากนั้นได้ให้ผู้เสียหาย แอดไลน์ชื่อ “ฝ่ายทะเบียนเอกสาร” และได้ส่งลิงก์ปลอมให้ผู้เสียหายกด โดยอ้างว่าเป็นลิงก์เกี่ยวกับเอกสารที่ดินของ อบต.ระโสม จากนั้นไลน์ “ฝ่ายทะเบียนเอกสาร” ได้โทรวีดีโอคอลมาหาผู้เสียหายแล้วแนะนำให้ผู้เสียหายดาวน์โหลดแอป “Smart Lands” ซึ่งในระหว่างการดาวน์โหลดแอปดังกล่าว คนร้ายก็ได้วิดีโอคอลคอยบอกขั้นตอนเพื่อขอแชร์หน้าจอ แล้วสั่งให้ผู้เสียหายเข้าแอปธนาคารของผู้เสียหาย เพื่อทำตามขั้นตอนที่เป็นการตั้งค่าแอปดังกล่าวใหม่
โดยคนร้ายได้สั่งให้เปลี่ยนจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นได้หลอกให้ผู้เสียหายกดเปลี่ยนวงเงิน
การโอน และสแกนใบหน้า ต่อมา คนร้ายได้ส่งเอกสารอนุมัติสั่งจ่ายจากสำนักงานกรมที่ดิน แล้วหลอกให้ผู้เสียหายใส่รหัส OTP ในแอปธนาคารของผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นรหัสในการรับเงินชดเชยจากกรมที่ดิน สุดท้ายเงินของผู้เสียหายถูกโอนออกไป จำนวน 879,098 บาท โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นคนร้ายได้สั่งให้ผู้เสียหายรอรับเงินชดเชยจากกรมที่ดินประมาณ 17,500 บาท วันต่อมา ผู้เสียหายจึงได้เดินทางไปที่ องค์การบริการส่วนตำบลระโสม เพื่อยื่นเอกสารขอรับเงินชดเชย ผู้เสียหายจึงรู้ตัวว่าโดนหลอกลวง
ต่อมา พ.ต.อ.สุวัฒชัย ศรีทองสุข รอง ผบก.ตอท. และ พ.ต.ต.กัณห์พิพัฒน์ ปันแสน สว.กก.1 บก.สอท.2
พร้อมเจ้าหน้าทีที่เกี่ยวข้อง ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการในข้อหา ดังนี้
1. “กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก (เป็นผู้สนับสนุน) ในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดฐาน ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตราการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตราการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน”
2. “ร่วมกันแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น”
3. “ร่วมกันโดยทุจริต หรือ โดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา”
4. “ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ (รหัสทางอิเล็กทรอนิกส์) ของผู้อื่นที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสุดหรือใช้เบิกถอนเงินสดโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”
5. “ร่วมกันลักทรัพย์โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงาน โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป”
6. “เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาเพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องหรือยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรจะรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดอาญาอื่นใด”
หลังพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาในขบวนการ น.ส.ชุติมา อายุ 40 ปี และ น.ส.นงลักษณ์
อายุ 32 ปี ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน โดยทั้ง 2 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
เบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายอ้างว่ารู้จักกัน โดยก่อนเกิดเหตุ น.ส.ชุติมา ได้รับมอบอำนาจจากญาติของตนเอง
ให้ช่วยหาคนมาเช่าที่ดินในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยทำสัญญาเช่าเป็นระยะเวลา 2 ปี คิดค่าเช่า 2 ล้านบาท
น.ส.ชุติมา จึงได้ฝาก น.ส.นงลักษณ์ ให้ช่วยหาผู้เช่า โดยก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ 1 วัน น.ส.นงลักษณ์ ได้แจ้งกับ น.ส.ชุติมา ว่าหาผู้เช่าได้แล้ว โดยผู้เช่าจะโอนเงินค่าเช่ามาให้ในวันรุ่งขึ้น โดยต่อมา น.ส.ชุติมา ก็ได้ไปรอถอนเงินที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ใน อ.แม่สอด ตามกำหนดนัดที่แจ้งไว้
ต่อมาก็ได้มียอดเงินที่โอนมาจากบัญชีของผู้เสียหายเข้าบัญชีของ น.ส.นงลักษณ์ ก่อนจะถูกโอนต่อให้
น.ส.ชุติมา แต่เมื่อ น.ส.ชุติมา ได้พยายามถอนเงินจากธนาคารนั้น ปรากฏว่าบัญชีถูกอายัด จึงได้เข้าพบพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมาและรับทราบข้อกล่าวหา ส่วนเหตุผลที่ต้องถอนเงินออกมาเป็นเงินสดนั้น น.ส.ชุติมา อ้างว่าตนเองจำเป็นต้องถอนเงินยอดดังกล่าวเป็นเงินสดเพื่อนำไปส่งมอบให้แก่ญาติของตนเองที่ปล่อยเช่าที่ดิน เนื่องจากญาติคนดังกล่าวเป็นผู้สูงอายุ จึงไม่ค่อยเข้าใจการใช้งานระบบ Mobile Banking ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหาทั้ง 2
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถประสานธนาคารเพื่ออายัดยอดเงินตามที่ผู้เสียหายถูกหลอกลวงได้เต็มจำนวน 879,098 บาท โดยวันนี้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดติดตามคดี จึงได้ร่วมกันนำเงินจำนวน 879,098 บาท คืนให้แก่ผู้เสียหาย ตามโครงการ “Money Cash Bac
k ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน”