ตำรวจไซเบอร์ตามรวบ 6 บัญชีม้า กดเงินสดส่งนายทุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์
.
เมื่อวันศุกร์ที่ 5 ก.ย.68 เวลา 11.30 น. ณ บก.สอท.4 ม.3 ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ ผบก.สอท.4 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์ตามรวบ 6 บัญชีม้า กดเงินสดส่งนายทุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์
.
สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อน “Warroom IAC” ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและสถาบันการเงินต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมตั้งแต่การกวาดล้างเครือข่าย การระงับบัญชี ติดตามเส้นทางการเงิน ไปจนถึงการคุ้มครองเหยื่อ ภายใต้แนวคิด “ปิดประตูทุบหม้อข้าว” ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตร. ในฐานะ ผบ.ศกค. จนสามารถคืนเงินเหยื่อได้หลายราย จากนั้นได้ขยายผลไปยังผู้กดเงินสดของขบวนการดังกล่าว จนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย รายละเอียด ดังนี้
.
กรณีที่ 1 สืบเนื่องจากผู้เสียหายรายหนึ่งได้พบโฆษณาบนเฟซบุ๊กแฟนเพจ ชื่อบัญชี “Matcha Chatramue” อ้างว่าจะมีการแจกผลิตภัณฑ์ชาฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้เสียหายรู้สึกได้สนใจจึงได้ติดต่อผ่านกล่องข้อความไป โดยคนร้ายได้บอกรายละเอียดของการรับผลิตภัณฑ์ชาฟรี จากนั้นให้ผู้เสียหายแอดไลน์ พบว่าเป็นไลน์แอดมิน โดยแจ้งว่า หากประสงค์รับผลิตภัณฑ์ชาฟรี ต้องเข้ากลุ่มโปรโมตสินค้าก่อน ผู้เสียหายจึงทำตามคำแนะนำ จากนั้นได้โอนเงินเพื่อทำกิจกรรม ผู้เสียหายโอนเงินลงทุนช่วงแรกได้เงินคืนจริง แต่เมื่อโอนเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลับไม่สามารถถอนเงินคืนได้เสียหายรวม 528,220 บาท
.
ต่อมา กก.1 บก.สอท.4 ได้สืบสวนจนทราบว่า เงินของผู้เสียหายได้ถูกโอนเข้าบัญชีม้าเพียงทอดเดียว จากนั้นได้ถูกถอนออกทันที ผ่านเคาท์เตอร์ของธนาคารหลายแห่งในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จึงสืบสวนจนกระทั่งทราบตัวผู้ถอนเงิน รวมถึงผู้ทำหน้าที่เฝ้าควบคุมคนถอนเงิน
.
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานจนศาลจังหวัดเชียงใหม่ออกหมายจับบุคคลทั้งสอง คือ นายคมปภพ ฯ อายุ 29 ปี และ น.ส.อัยช่า อายุ 21 ปี ผู้ทำหน้าเฝ้าควบคุมคนถอนเงิน และสามารถเข้าจับกุมตัวได้พร้อมของกลางเป็นบัญชีธนาคาร, โทรศัพท์มือถือ และเสื้อผ้าที่สวมใส่ขณะพาผู้รับจ้างเปิดบัญชีม้าตระเวนถอนเงินสดจากธนาคารต่างๆ
.
เบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งสองให้รับสารภาพว่า ทุกครั้งที่พวกตนเดินทางไปหาผู้ที่ต้องการรับจ้างถอนเงินตามนัดหมาย พวกตนก็จะเปิดโรงแรมเพื่อทำการพักคอย เมื่อมีการโอนเงินจากการหลอกลวงเข้ามา พวกตนก็จะพาผู้เปิดบัญชีม้าไปถอนเงินที่เคาท์เตอร์ธนาคาร เมื่อถอนเงินได้ก็จะนำเงินสดมอบให้แก่ผู้ร่วมขบวนการที่ไปด้วยกัน เพื่อรวบรวมส่งต่อให้แก่ผู้สั่งการต่อไป
.
โดยพวกตนจะจ่ายค่าจ้างให้เจ้าของบัญชีธนาคาร เป็นค่าจ้างอัตราละ 5,000 บาทต่อยอดเงินที่โอนเข้ามา 1 ล้านบาท จากที่โฆษณาไว้บนเฟซบุ๊กว่าจะให้บัญชีม้าอัตรา 20,000 บาทต่อ 1 ล้านบาท ส่วนพวกตนนั้น ได้เงินเป็นรายเดือน จำนวน 20,000 บาท ต่อเดือน แต่ยังไม่ทันได้รับเงินกลับมาถูกกุมจับเสียก่อน
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินคดี ในความผิดฐาน “เป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดฐานโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ หรือให้มีการซื้อ ขายให้เช่า หรือให้ยืมบัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีอิเลกทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดอาญาอื่นใด”
.
โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปยังผู้ว่าจ้าง และหาความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มผู้ก่อเหตุในเครือข่ายหลอกลงทุน “Matcha Chatramue” ว่าเป็นขบวนการเดียวกันหรือไม่ เพื่อเร่งรวบรวมพยานดำเนินคดีผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป
.
กรณีที่ 2 สืบเนื่องจากผู้เสียหายรายหนึ่งได้รับสายโทรศัพท์อ้างว่ามาจากสำนักงานที่ดิน จ.แม่ฮ่องสอน แจ้งว่าที่ดินของผู้เสียหายยังไม่ได้ออกกรรมสิทธิ์เป็นโฉนด ผู้เสียหายจึงตรวจสอบเบื้องต้นคิดว่าเป็นที่ดินของตนเองจริง จึงให้ผู้เสียหายแอดไลน์เพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเดินสำรวจที่ดิน
.
ต่อมา คนร้ายแจ้งให้ผู้เสียหายกรอกข้อมูลตามขั้นตอน จากนั้นได้ให้เปิดแอปพลิเคชันไลน์เพื่อโทรแบบวิดีโอคอล ส่งลิงก์ให้กด และทำตามขั้นตอนที่คนร้ายแนะนำ จากนั้นไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้ เมื่อผู้เสียหายตรวจสอบบัญชีธนาคาร พบว่ามีเงินถูกโอนออกไปเสียหายรวม 651,800.00 บาท
.
ต่อมา กก.1 บก.สอท.4 ได้สืบสวนจนทราบว่าเงินของผู้เสียหายได้ถูกโอนเข้าบัญชีม้าเพียงทอดเดียว แล้วถูกถอนออกไปทันทีผ่านเคาท์เตอร์ของธนาคารหลายแห่งในพื้นที่ กทม. จึงได้สืบสวนขยายผลกระทั่งทราบตัวผู้ถอนเงินรวมถึงผู้ทำหน้าที่ควบคุม กระทั่งสามารถขอศาลอาญาออกหมายจับบุคคลทั้งสอง คือ นายวิลลี่ อายุ 25 ปี และนายศุทธวัต อายุ 29 ปี พร้อมตรวจยึดของกลางหลายรายการ อาทิ บัญชีธนาคารของบุคคลอื่น, โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
.
เบื้องต้น ผู้ต้องหารับสารภาพโดยให้ข้อมูลว่าได้พบประกาศของคนร้ายผ่านทางกลุ่มเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการซื้อขายบัญชีม้าจึงได้สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับประกาศดังกล่าว โดยคนร้ายแจ้งว่าเป็นบัญชีปลายทางสำหรับถอนเงินสดเท่านั้นไม่ใช่เงินผิดกฎหมาย หากเบิกถอนเงินสดผ่านบัญชีของผู้ต้องหาจะได้รับผลตอบแทนจำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ ผู้ต้องหาจึงได้ตกลงทำตามเงื่อนไขของคนร้ายและขายบัญชีให้
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และเปิดหรือยินยอมให้บุคคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก โดยมิได้มีเจตมาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง โดยประการที่รู้หรือควรจะรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด”
.
โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปยังผู้ว่าจ้าง และหาความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มผู้ก่อเหตุ
ในเครือข่ายหลอกลงทุนอื่นว่าเป็นขบวนการเดียวกันหรือไม่ เพื่อเร่งรวบรวมพยานดำเนินคดี ผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป
.
กรณีที่ 3 สืบเนื่องจากผู้เสียหายรายหนึ่งได้ถูกหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ โดยพบโฆษณาชักชวนลงทุนเกี่ยวกับการเทรดหุ้น SAXOPLUS TH ผู้เสียหายสนใจจึงได้ติดต่อและแอดไลน์ และถูกส่งให้สนทนาต่อไปยังผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ชื่อ “หุ้น Janpatamapun” จากนั้นได้แนะนำให้โอนเงินเพื่อลงทุน สุดท้ายเสียหายรวม 1,923,366.22 บาท
.
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.สอท.4 ร่วมกับ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.4 ได้สืบสวนจนทราบว่า ผู้เสียหายมีการโอนเงินจำนวน 11 ครั้ง รวม 11 บัญชี ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นบัญชีธนาคารที่เปิดในนามของบริษัท ออลซีซั่น กรุ๊ป จำกัด เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีบัญชีของคนร้ายจำนวน 1 บัญชี มีการเบิกถอนที่หน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร จึงได้สืบสวนขยายผล กระทั่งรู้ตัวผู้ถอนเงินรวมถึงผู้ทำหน้าที่ควบคุม จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับบุคคล 2 ราย คือ นายอับดุล สัญชาติ บังกลาเทศ (สามี) และ น.ส.ปัณณภัสร์ (ภรรยา) เจ้าของ
บริษัท ออลซีซั่นกรุ๊ป จำกัด และสามารถเข้าจับกุมได้ที่ บริษัท ออลซีซั่นกรุ๊ป จำกัด อ.บางแพ จ.ราชบุรี พร้อมเครื่องแต่งกาย และสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารที่ใช้ในการกระทำผิด
.
เบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งสองรับสารภาพว่าได้ทำธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้าเกษตรโดยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ออลซีซั่น กรุ๊ป จำกัด และยังเป็นกรรมการบริษัทอื่นอีกประมาณ 5 บริษัท ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้าส่งออกสินค้าเกษตรและร้านอาหารด้วย แต่ภายหลังเกิดการขาดสภาพคล่องทางธุรกิจ และได้พบประกาศโฆษณาในกลุ่มเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการซื้อขายบัญชี จึงได้สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับประกาศดังกล่าว ซึ่งผู้รับซื้อบัญชีแจ้งว่าเป็นบัญชีปลายทางสำหรับถอนเงินสดเท่านั้น ไม่ใช่เงินผิดกฎหมาย และจะให้ได้ผลตอบแทนจำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ ผู้ต้องหาจึงได้ยินยอมให้ใช้บัญชีธนาคารบริษัทดังกล่าวรับโอนเงิน
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินคดีฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นคนอื่น,ร่วมกันโดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน,สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ, ร่วมกันฟอกเงิน, เปิด หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด”
.
นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า บ.ออลซีซั่นกรุ๊ป จำกัด ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายรายอื่นอีก จำนวน 4 บัญชี รวมเป็นเงินที่รับโอนจำนวน 1,281,500 บาท โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปยังผู้ว่าจ้าง และเร่งรวบรวมพยานดำเนินคดี ผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป