ตำรวจสอบสวนกลาง เตรียมตรวจสอบวัดทั่วประเทศ 40,000 แห่ง จัดเก็บข้อมูลแหล่งรับรายได้เพื่อทำ Big Data คัดกรองพฤติกรรมต้องสงสัย ภายใน 7 วัน ส่วนกรณี หมอดูชื่อดังที่ใช้ชื่อวัดรับบริจาค ตำรวจเร่งตรวจสอบ อาจเข้าข่ายฉ้อโกง หากเงินไม่โปร่งใสตามหลักบัญชีวัด
โดย พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการตรวจสอบการทุจริตในแวดวงพระพุทธศาสนา โดยปฎิบัติการครั้งนี้ได้นำฐานข้อมูลจากสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อนำเข้าระบบ Big Data ของตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อประมวลผลและตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัยของพระสงฆ์ทั่วประเทศ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า มีพระภิกษุรวมทั้งหมด 510 รูป ที่ถูกตั้งเป้าหมายในการตรวจสอบ โดยในจำนวนนี้ ลาสิกขาไปแล้วกว่า 300 ราย และยังคงมีสมณเพศอยู่ราว 153 รูป และสำหรับพระที่ลาสิกขาแล้ว 28 ราย ปรากฏว่าเข้าข่ายกระทำความผิด และสามารถจับกุมได้แล้วถึง 26 ราย ส่วนพระที่ยังครองสมณเพศอยู่ ตรวจสอบพบ 153 รูป และเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวได้ 137 ราย ขณะที่พระที่เหลือบางส่วนอยู่ระหว่างติดตามตัว
ในส่วนของพระ 4 รูป ที่ยังไม่ได้ลาสิกขา แต่มีหมายจับหรือพฤติกรรมเข้าข่ายต้องถูกดำเนินคดีนั้น เมื่อช่วงเย็นวานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางได้เข้าพบเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจ โดยได้รับความร่วมมือจากพระสังฆาธิการ ที่มาชี้แจงว่า ตามหลักพระธรรมวินัย พระภิกษุที่ยังครองสมณเพศจะไม่สามารถถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ จึงแนะนำให้ลาสิกขาเพื่อไปต่อสู้คดีในฐานะฆราวาส และหากพ้นผิดก็สามารถกลับมาบวชใหม่ได้ ซึ่งพระทั้ง 4 รูปก็ยินยอมลาสิกขาในที่สุด
ขณะเดียวกัน ในวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง ได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่จากกรมการศาสนา ดำเนินการเข้าตรวจสอบวัดทั่วประเทศกว่า 40,000 แห่ง โดยจะรวบรวมข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งพระสงฆ์ประจำวัด บัญชีวัด มูลนิธิในวัด ไวยาวัจกร คณะกรรมการวัด ไปจนถึงระบบบริหารจัดการ และตู้บริจาคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดทั้งหมด ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำเข้าสู่ระบบ Big Data ของตำรวจสอบสวนกลาง โดยคาดว่าภายในระยะเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 6-12 สิงหาคมนี้ เพื่อสร้างฐานข้อมูลพระสงฆ์และระบบตรวจสอบแบบมีประสิทธิภาพ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงการพระพุทธศาสนา เพราะการมีระบบตรวจสอบที่ดี จะทำให้การทุจริตทำได้ยากขึ้น
ส่วนกรณี หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ หมอดูชื่อดัง ใช้ชื่อวัดพระบาทน้ำพุเปิดรับบริจาคเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังเผยถึงกรณีที่มีประชาชนเข้าร้องเรียนผ่านกองกำกับการ 1 กองปราบปรามว่า หมอดูรายหนึ่ง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หมอบี” มีการใช้ชื่อ “วัดพระบาทน้ำพุ” เปิดรับบริจาคเงินโดยไม่มีความชัดเจนว่าเงินนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ใด โดยอ้างว่ามีการนำเงินบางส่วนไปให้เจ้าอาวาสด้วย
ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบว่า มีการนำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และหากให้จริง เจ้าอาวาสได้นำไปใช้อย่างไร ซึ่งหากเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง จะมีการดำเนินการตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า หากบุคคลภายนอกเปิดบัญชีรับเงินบริจาคแล้วอ้างว่าเป็นของวัด และสามารถถอนเงินได้เพียงรายเดียว ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการบัญชีวัด ซึ่งอาจจะเข้าข่ายในฐานความผิดฉ้อโกง เพราะบัญชีวัดต้องมีคณะกรรมการวัดร่วมตรวจสอบและดูแลทุกขั้นตอน เงินที่รับบริจาคมาต้องนำเข้าใช้เพื่อกิจของวัดเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นโดยพลการ หากพบว่าบัญชีดังกล่าวไม่ใช่บัญชีของวัดโดยตรง หรือไม่มีการอนุมัติจากคณะกรรมการวัด ก็จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด และอาจตรวจสอบหากมีการนำเงินไปให้เจ้าอาวาส และเจ้าอาวาสนำเงินไปทำอะไรก็จะต้องตรวจสอบอีกครั้ง แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบอยู่และคาดว่าจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น พร้อมย้ำกว่าหากเป็นเรื่องของฉ้อโกงก็จะให้กองปราบปรามดำเนินการ แต่หากเข้าข่ายทุจริตตนจะดำเนินการเอง










