บุญไม่ถึงโดนจับเสียก่อน หนุ่มบัญชีม้า กลางศาลาวัด คิดจะบวชหนีคดี แต่บุญไม่ถึง…เลยบวชไม่ได้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์, พล.ต.ต.มนตรี เทศขันรอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป, พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น, พ.ต.อ.สุเทพ โตอิ้ม รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ, พ.ต.ท.อรรถวิทย์ สุขทัศน์, พ.ต.ท.เอนก บุญตา, พ.ต.ท.กิตติพงศ์ ศิลาพันธุ์, พ.ต.ท.ชนะ ขำทอง รอง ผกก.4 บก.ป. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย ว่าที่ พ.ต.ต.จิรัฎฐวัฒน์ กิจรุ่งเรืองเดช สว.กก.4 บก.ป., ร.ต.อ.ถวิล สายอินต๊ะ รอง สว.กก.4 บก.ป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กก.4 บก.ป. ร่วมกันจับกุม นายพัชรัตน์ฯ อายุ 43 ปี เป็นผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลจังหวัดชัยภูมิ ที่ 134/2568 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริต, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย” สถานที่จับกุม บริเวณศาลาปฏิบัติธรรมในพื้นที่ ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จว.นครราชสีมา พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก นางสาวอารยาฯ ผู้เสียหาย ได้พบโฆษณาบนเพจเฟซบุ๊ก อ้างว่าเป็นกิจกรรมส่งเสริมการตลาด แจกผลิตภัณฑ์โปรตีนจากไข่ผำ โดยใช้สโลแกนล่อใจว่า “แจกฟรี–ได้เงินคืน” พร้อมชักชวนให้ผู้สนใจแอดไลน์ไอดีเพื่อร่วมกิจกรรมหลังจากแอดไลน์ไปแอดมินได้แนะนำให้ “กดหัวใจ” ให้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสะสมแต้ม โดยอ้างว่าสามารถนำไปแลกรับเงินคืนได้จริง พร้อมทั้งเสนอให้โอนเงินเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มโอกาสในการสะสมแต้มและแลกของรางวัล ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงได้โอนเงินให้กับบัญชีที่ได้รับคำแนะนำจากแอดมิน ทั้งหมดรวม 6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 196,000 บาท โดยบัญชีที่รับโอนปรากฏชื่อบุคคลดังต่อไปนี้ นายพัชรัตน์ฯ (ผู้ต้องหาในคดีนี้) นางสาวกาญจนาฯ นายสุพรหมฯ นางสาวภิตาฯ ต่อมาเมื่อผู้เสียหายต้องการถอนเงินคืน กลับถูกแอดมินแจ้งว่า “ทำผิดขั้นตอน” ต้องโอนเงินเพิ่มอีกจำนวน 290,417 บาท จึงจะสามารถถอนเงินที่สะสมไว้ได้ ผู้เสียหายเริ่มรู้สึกผิดปกติ เนื่องจากไม่ได้รับเงินคืนตามที่กล่าวอ้าง และไม่สามารถติดต่อกับแอดมินได้อีก จึงเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชัยภูมิ หลังการสืบสวน เจ้าหน้าที่พบความเชื่อมโยงระหว่างบัญชีที่รับโอนกับ นายพัชรัตน์ฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับ และขยายผลจนสามารถติดตามจับกุมตัวได้ในเวลาต่อมา ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม กองกำกับการ 4 ได้สืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดชัยภูมิ ที่ จ.59/2568 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ในข้อหา“ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” โดยจับกุมได้ที่บริเวณศาลาปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง พื้นที่บ้านวังหมี ตำบลวังหมี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ผู้ต้องหาคือ นายพัชรัตน์ฯ อายุ 43 ปี ขณะเข้าจับกุม ผู้ต้องหากำลังนุ่งขาว ห่มขาว ฝึกสวด “ทำขวัญนาค” อยู่ภายในศาลา เตรียมตัวอุปสมบทในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยจากการสืบสวนพบว่า ผู้ต้องหา มีเจตนาหลบหนีการจับกุม โดยแฝงตัวอยู่ในสถานที่ปฏิบัติธรรม เพื่อใช้ภาพลักษณ์นักบวชกลบเกลื่อนหมายจับคดีอาญา เมื่อเดินทางไปถึง เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ พร้อมแสดงหมายจับให้ผู้ต้องหาทราบโดยชัดแจ้ง ผู้ต้องหารับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับดังกล่าวจริง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตามกฎหมาย พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหา ให้ผู้ต้องหารับทราบ ผู้ต้องหาเข้าใจสิทธิและ ข้อกล่าวหา โดยให้การว่าเคยเดินทางไปยังปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยเข้าไปทำงานกับเครือข่าย คอลเซ็นเตอร์ มีหน้าที่สแกนใบหน้าและเปิดบัญชีธนาคารให้กับแก๊งดังกล่าว ได้ค่าตอบแทนบัญชีละ 5,000 บาท ตลอดระยะเวลาประมาณ 10 วัน ได้เงินประมาณ 10,000 บาท ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ จากการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมเพิ่มเติม พบว่า ผู้ต้องหายังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลแขวงดอนเมือง ที่ ร.165/2565 ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 คดีหมายเลขดำที่ อ.188/2565 และคดีหมายเลขแดงที่ อ.923/2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง” อีกจำนวน 1 หมายจับ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชัยภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การว่าเป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริง ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เตือนภัย เตือนภัยประชาชน! ระวังโฆษณาชวนเชื่อบนโซเชียลที่อ้างแจกของหรือแลกเงิน อย่าหลงเชื่อกิจกรรมที่ให้ “โอนเงินก่อน” เพื่อจะได้เงินคืนในภายหลัง มิจฉาชีพมักใช้เพจปลอม-ไอดีหลอกลวงผ่าน Facebook หรือ LINE การคลิกสมัครหรือเปิดบัญชีให้ผู้อื่นใช้ อาจทำให้ท่านมีความผิดร่วม หากไม่แน่ใจ ให้สอบถามเจ้าหน้าที่หรือสายด่วนกองปราบ โทร. 1195 อย่าตกเป็นเหยื่อรายต่อไป ป้องกันก่อนสายเกินไป!