พบ “สามบริษัทรัฐวิสาหกิจจีน” สร้างปัญหาในไทย: ค้างเงินผู้รับเหมา-เลี่ยงกฎหมาย-ใช้โครงสร้างบริษัทบังหน้า ⸻ 1. “CCMC – เหมืองโปแตชสีแดง: ยกสัมปทานให้รัฐวิสาหกิจจีน ละเมิดเจตนารมณ์กฎหมายไทย” กรณีเหมืองแร่โปแตชที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา กลายเป็นประเด็นร้อนหลังบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ซึ่งปัจจุบันมีบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 65% เตรียมเดินหน้าโครงการระเบิดอุโมงค์รอบสอง แม้จะเผชิญกับการคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ที่ปรึกษากลุ่มฯ เปิดเผยว่า ไทยคาลิฯ ได้ทำสัญญาแบบ EPC+O กับรัฐวิสาหกิจจีน China Coal No.3 Mine Construction Group Corporation Limited (CCMC) ให้ขุดเจาะอุโมงค์แทน ซึ่งอาจเข้าข่ายหลีกเลี่ยงความรับผิดด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพตามมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 โดยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจะต้องไปเรียกร้องกับบริษัทจีนแทนไทยคาลิฯ ข้อกล่าวหายังพาดพิงถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้ถือหุ้นไทยรายใหญ่กับกลุ่มทุนสีเทาจากจีน และการใช้โครงสร้างธุรกิจเพื่อผลักภาระจากรัฐวิสาหกิจไทยไปยังกลุ่มทุนต่างชาติ ⸻ 2. CPP – ค้างจ่ายค่าจ้างผู้รับเหมาไทย แม้แรงงานไทยได้รับเงินแล้ว บริษัท CPP หรือ China Petroleum Pipeline Engineering Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ China National Petroleum Corporation (CNPC) รัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ของจีน ยังคงตกเป็นเป้าการร้องเรียนจากผู้รับเหมาไทยหลายรายในกรณีค้างชำระค่าจ้างค่าบริการ แม้ปัญหาค่าจ้างของแรงงานไทยภายในโครงการจะได้รับการจ่ายชำระแล้วหลังเกิดกระแสสังคมกดดันอย่างรุนแรง แต่กลุ่มผู้รับเหมาชาวไทยจำนวนมากยังไม่ได้รับเงินตามสัญญา ทั้งที่บริษัท CPP ยังคงดำเนินโครงการร่วมกับ ปตท. และหน่วยงานภาครัฐไทยอย่างต่อเนื่อง ผู้เสียหายตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดหน่วยงานรัฐไทยยังปล่อยให้บริษัทที่มีปัญหาค้างจ่ายทำงานต่อไปได้ ทั้งที่หากเป็นบริษัทไทยคงถูกระงับงานหรือถูกดำเนินการทางกฎหมายไปแล้ว และยังมีปัญหาจ้างแรงงานเถื่อน มาเป็น รปภ อีกด้วย ⸻ 3. China Railway No.10 – ส่อใช้ “นอมินี” ฮั้วประมูล 1.6 หมื่นล้านบาท-เอี่ยวตึก สตง. ถล่ม บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ China Railway Group – รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของจีน ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตรวจสอบกรณีการใช้บุคคลสัญชาติไทยเป็นผู้ถือหุ้นแทนอำพรางการถือหุ้นของต่างชาติ อันเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ บริษัทดังกล่าวยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) 30 ชั้น ที่ถล่มลงหลังเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 โดย DSI รับเป็นคดีพิเศษและตั้งข้อสงสัยว่าโครงสร้างของบริษัทอาจไม่มีการประกอบธุรกิจจริงจัง และอาจเกี่ยวพันกับการใช้วัสดุก่อสร้างไม่มีคุณภาพ รวมถึงพฤติกรรมฮั้วประมูลกับกิจการร่วมค้าในโครงการรัฐกว่า 27 โครงการ วงเงิน 16,000 ล้านบาท ผลการสืบสวนยังพบว่า ผู้ถือหุ้นไทยที่ระบุในเอกสารมีอาชีพรับจ้างรายวัน รายได้เพียงหลักหมื่นบาทต่อเดือน แต่กลับถือหุ้นมูลค่าหลายสิบล้านบาทในบริษัท ซึ่งส่อแววเป็น “นอมินี” เพื่อให้บริษัทจีนหลบเลี่ยงกฎหมายไทย ⸻ สรุป: ทั้งสามกรณีตอกย้ำถึงความล้มเหลวของกลไกรัฐไทยในการควบคุมบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทรัฐวิสาหกิจจีนที่ดำเนินธุรกิจในไทยภายใต้ภาพลักษณ์ “ความร่วมมือระหว่างประเทศ” แต่กลับละเมิดสิทธิแรงงานไทย บิดเบือนโครงสร้างธุรกิจ และผลักภาระความรับผิดชอบต่อผลกระทบต่อชุมชนไปให้บริษัทในต่างประเทศ คำถามสำคัญ: ทำไมรัฐจึงยังให้สิทธิ์บริษัทเหล่านี้ดำเนินกิจการต่อไปได้?