หวั่นซ้ำรอย!! “ผกก.โจ้ แดนสนธยาคลองเปรม” แม่นักโทษ “คุกเขาบิน” โร่ร้อง DSI ลูกชายถูกผู้คุมทำร้าย
ทนายรณณรงค์ พาแม่ผู้ต้องขัง “เรือนจำเขาบิน” ร้อง ดีเอสไอ สอบเหตุลูกชายถูกผู้คุมทำร้าย เข้าข่าย พ.ร.บ.อุ้มหายฯ กลัวเหตุซ้ำรอย “ผกก.โจ้” ดับปริศนาในคุก
วันนี้ (12 มี.ค.) เวลา 09.30 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พา นางเอ (นามสมมติ) อายุ 52 ปี แม่ของผู้ต้องขังชาย อายุ 30 ปี ถูกคุมขังในเรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี เข้ายื่นพยานหลักฐานร้องเรียนต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ หลังลูกชายถูกผู้คุมในเรือนจำ 6 คน รุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมตามกฏหมายและกลัวจะซ้ำรอยกับอดีต ผกก.โจ้ โดยมี นายสมเกียรติ เพชรประดับ ผอ.ส่วนพิจารณาสำนวนร้องทุกข์ กองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้แทนรับเรื่อง
นายรณณรงค์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ผู้ต้องขังได้ติดต่อญาติร้องเรียนเรื่องถูกผู้คุมทำร้ายไปยังทางเรือนจำแต่ไม่มีความชัดเจนและไม่คืบหน้า เมื่อเห็นข่าว ผกก.โจ้ เสียชีวิตในเรือนจำโดยลูกชายของครอบครัวที่มาร้องในวันนี้ก็ถูกแยกขังเดี่ยวเช่นกัน และมีจดหมายน้อยที่ขอความช่วยเหลือมาถึงญาติ จึงอยากให้ดีเอสไอ ช่วยตรวจสอบเรื่องดังกล่าวตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย หากดีเอสไอจะรับสอบสวนคดีของ ผกก.โจ้ จึงอยากให้ปฏิบัติกับนักโทษที่ญาติมาติดต่อร้องเรียนเหมือนกันด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
ทนายรณณรงค์ กล่าวอีกว่า ไม่ได้บอกว่าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีความผิด แต่เมื่อมีการร้องเรียน ต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความกระจ่าง จะต้องให้เจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความสามารถไปตรวจสอบและมีคำอธิบายกับญาติได้ หากมีคนถูกกระทำภายในหน่วยงานจะต้องให้หน่วยงานภายนอกเข้าไปตรวจสอบ เมื่อเห็นทางดีเอสไอรับสืบสวนคดีของ ผกก.โจ้ ก็อยากให้ช่วยตรวจสอบอีกเรือนจำหนึ่งด้วย
ด้าน นางเอ มารดาผู้ต้องขังเรือนจำกลางเขาบิน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.67 เรือนจำเปิดเยี่ยมเป็นกรณีพิเศษ ตัวเองจึงได้ไปเยี่ยมลูกชายที่เรือนจำ จากนั้นลูกบอกว่าถูกทำร้ายหนักมากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เกือบไม่ได้เห็นหน้าพ่อแม่ พร้อมขอให้ช่วยร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแดน 4 เป็นแดนที่มีการควบคุมพิเศษ การเยี่ยมแต่ละครั้งจะถูกบันทึกทั้งภาพและเสียงเอาไว้เป็นการเยี่ยมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ ลูกจึงไม่สามารถเปิดภาพบาดแผลที่ถูกทำร้ายให้ดูได้ เท่าที่ทราบมีการแบ่งเป็น 2 บ้าน คือ บ้านภาคกลางและบ้านภาคใต้ จะมีปัญหากันบ่อย และมีการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้น เสมือนเป็นการจราจล ทางผู้คุมจึงเข้าไประงับเหตุและมีการทำร้ายร่างกาย ผู้คุมได้ใช้ไม้กระบองตี
นางเอ มองว่า หากเป็นการตีพอสมควรแก่เหตุทางครอบครัวก็ยังรับได้ แต่ถ้าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุสวมรองเท้าคอมแบทกระทืบตามร่างกายและตีทั่วตัว และใช้สายเคเบิ้ลไทร์รัดมือไขว้หลัง บังคับให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้น จากนั้นบังคับให้คลานไปกับพื้นจนได้รับบาดเจ็บ โดยลูกชายของตัวเองอยู่ในกลุ่มบ้านภาคกลางอยู่ใน 11 คนที่ถูกทำร้าย
นางเอ กล่าวอีกว่า การลงโทษจะต้องมีกรอบในการลงโทษ ขณะนี้ลูกชายถูกงดเยี่ยม 3 เดือน เนื่องจากผิดวินัย กังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกชายมาก เพราะได้เข้าเยี่ยมลูกชายครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ลูกชายซูบผอมลงมากเนื่องจากถูกลดปริมาณข้าว อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 7 มี.ค.68 เพื่อนของลูกชายที่พ้นโทษมาก่อนได้ไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน โดยมีการระบุชื่อของผู้คุมที่ทำร้ายร่างกายไว้อย่างชัดเจนเพื่อขอให้พนักงานสอบสวนได้เข้าไปสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องด้านในเรือนจำ แต่ไม่ทราบความคืบหน้า ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ติดต่อมาเพื่อขอสอบปากคำตัวเอง จึงบอกไปว่าควรจะไปสอบปากคำผู้ต้องขังในเรือนจำมากกว่าไม่ใช่มาสอบปากคำแม่ จากนั้นก็ยังไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนได้เข้าไปสอบปากคำลูกชายในเรือนจำหรือยัง
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ เมื่อมีการออกมาให้ข่าวเช่นนี้แล้วทางผู้คุมที่เขาเป็นคู่กรณีจะเห็นข่าวแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายนั้น นางเอ ยอมรับว่า ก็มีความกังวลมาก กังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกชาย












