DSI ถกคดี 7 ตำรวจกระทืบลูกอดีต ตร.สาหัส ผิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
ดีเอสไอประชุมคดีพิเศษ 7 ตร.จราจร กระทืบลูกอดีตตำรวจเจ็บสาหัส หลังเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
วันนี้ (7 มี.ค.) เวลา 11.30 น. ที่ห้องประชุม 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกำกับการสอบสวนคดีความผิดแห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (พ.ร.บ.อุ้มหายฯ) พร้อมด้วย นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ดีเอสไอ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 134/2567 ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าทางคดี นายธนานพ เกิดศรี ถูก 7 เจ้าหน้าตำรวจ กองบังคับการตำรวจจราจร ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมทั้ง วางกรอบแนวทางการสอบสวนขยายผล รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อพิจารณาความผิดแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง
นายวัชรินทร์ เปิดเผยหลังการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมคดีพิเศษ ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้ดีเอสไอเป็นผู้ดำเนินการสอบสวนในคดีดังกล่าว ตามมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาสาระของกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดไว้ชัดเจนเลยว่าไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใดสอบสวน จะเป็นตำรวจ ดีเอสไอ หรือฝ่ายปกครอง ก็จะต้องมีพนักงานอัยการที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด มาทำหน้าที่กำกับตรวจสอบสำนวนการสอบสวน อาทิ คดีเป้รักผู้การ หรือคดีลุงเปี๊ยก เป็นต้น
นายวัชรินทร์ เผยอีกว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งแรก เนื่องด้วยคดีดังกล่าว บางคนมองว่าคดีควรเป็นอำนาจการพิจารณาของสำนักงาน ป.ป.ช. หรือไม่นั้น คำตอบคือ หากมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และยังมี พ.ร.บ.อุ้มหาย ร่วมด้วยนั้นจะเป็นอำนาจของตำรวจ หรือดีเอสไอ หรือฝ่ายปกครอง สอบสวนได้เอง ซึ่งในเรื่องนี้อัยการสูงสุดได้มอบให้ดีเอสไอดำเนินการสอบสวน ซึ่งได้สอบปากคำผู้เสียหาย , บิดาผู้เสียหาย , แฟนสาวผู้เสียหาย พี่สาวและน้องสาวผู้เสียหาย รวม 5 ราย อย่างไรก็ตาม ได้มีการกำหนดกลุ่มพยานเพิ่มเติมที่จะต้องสอบปากคำ เช่น ตำรวจในเหตุการณ์ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย นอกจากนี้ ในส่วนตำรวจทั้ง 7 ราย มีตำแหน่งยศ ร.ต.อ. จำนวน 1 ราย ยศ ส.ต.อ. จำนวน 5 ราย และ ส.ต.ท. จำนวน 1 ราย แต่อาจต้องดูว่ามีระดับผู้บังคับบัญชาหรือใครเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ เพราะโดยหลักการแล้วลูกน้องจะต้องรายงานผลการปฎิบัติการไปยังผู้บังคับบัญชาให้รับทราบ จึงต้องมีการเชิญผู้บังคับบัญชามาสอบสวนปากคำด้วยว่าในการปฎิบัติหน้าที่วันดังกล่าวของลูกน้องได้มีผลรายงานอย่างไรบ้างและตนเองนั้นรับทราบหรือไม่ อย่างไร หรือลูกน้องไม่ได้มีการรายงาน หรือช่วยกันปกปิดหรือไม่
นายวัชรินทร์ เผยด้วยว่า สำหรับการแจ้งผลจับกุม ตำรวจชุดดังกล่าวมีการแจ้งมายังหน่วยงานเดียว คือ อัยการ แต่ไม่ได้แจ้งไปยังฝ่ายปกครอง ทั้งยังเป็นการแจ้งหลังเกิดเหตุไปแล้ว 3 วัน ซึ่ง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ได้กำหนดไว้ว่าต้องแจ้งการจับกุมทันทีต่อพนักงานอัยการและฝ่ายปกครอง ตนจึงอยากเน้นย้ำว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือดีเอสไอ เมื่อมีการจับกุมผู้ต้องหา หรือมีการควบคุมตัวผู้ต้องหา จะต้องมีการแจ้งการจับกุมทุกกรณีต่อพนักงานอัยการและฝ่ายปกครองให้รับทราบ เพราะการไม่แจ้ง จะมีผลทางกฎหมายในมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ เพราะถือเป็นการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ อาจถูกพิจารณาในความผิดมาตรา 157
นายวัชรินทร์ ระบุว่า สำหรับการตั้งข้อสังเกตเรื่องที่ 7 ตำรวจ มีการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายผิดคันรถนั้น ตนไม่ถือว่ามีผลใดทั้งสิ้นในทางคดี ใช้เป็นคำกล่าวอ้างไม่ได้ เนื่องจากทางผู้เสียหายไม่ได้กระทำความผิดอะไร มีการเข้าด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ตามที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด หรือแม้กระทั่งถูกคันก็ตาม เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกายหรือทรมานบุคคลใด เพราะอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำ 5 ปี สูงสุด 15 ปี ดังนั้น จะผิดหรือถูกคัน เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสิทธิ์อ้างในการไปทำร้ายร่างกายใคร ซึ่งจากการสอบสวนเบื้องต้น ทั้ง 7 ตำรวจ อาจเข้าข่ายฐานความผิดมาตรา 5 เนื่องจากเป็นการกระทำอันตรายต่อร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง แต่ยังไม่ถึงขั้นกระทำย่ำยีละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
นายวัชรินทร์ ระบุต่อว่า ส่วนสำนวนคดีหลักที่มีการดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 ราย ทราบว่าทางตำรวจ สน.บางเขน ได้มีการส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช.แล้ว ซึ่งจริง ๆ ไม่ต้องส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช. เพราะเมื่อเกิดพฤติการณ์เกี่ยวกับ พ.ร.บ.อุ้มหาย สิ่งที่ต้องทำคือการแจ้ง ป.ป.ช. ให้รับทราบเท่านั้น วันนี้ที่ประชุมจึงมีมติให้ทางดีเอสไอทำหนังสือถึงเลขาธิการ ป.ป.ช. เพื่อขอสำนวนดังกล่าวคืนจาก ป.ป.ช. มาดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอได้ตั้งกรอบการทำสำนวนว่าจะต้องเสร็จสิ้นภายในเดือน เม.ย.นี้
ด้าน นายอังศุเกติ์ เผยว่า ส่วนความคืบหน้าเรื่องร่างระเบียบว่าด้วยการช่วยเหลือ การเยียวยา และการฟื้นฟู ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันจากกฎหมายอุ้มหายนั้น ปัจจุบันนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง ซึ่งทางกระทรวงยุติธรรมเองได้มีการยื่นเอกสารและขอความเห็นชอบไปแล้ว ว่าเราอยากให้มีการออกระเบียบเพื่อที่จะได้มีการนำเงินมาเยียวยาผู้เสียหายและครอบครัวผู้เสียหาย ทั้งนี้ ให้คำยืนยันว่าเป็นเรื่องระหว่างหน่วยงานที่เราต้องติดตามต่อไป แต่ก็ต้องอาศัยการพิจารณาของกระทรวงการคลังด้วยว่าจะมีการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณในการใช้เยียวยาผู้เสียหายทั้งสิ้นกี่บาท และตกเคสละกี่บาท ส่วนเรื่องการขอรับการคุ้มครองพยานของทางฝั่งผู้เสียหาย ยังไม่ได้มีการแจ้งเรื่องขอมา เนื่องด้วยผู้เสียหายยังไม่พบพฤติกรรมการถูกข่มขู่คุกคาม แต่ถ้าผู้เสียหายถูกข่มขู่คุกคาม กรมสอบสวนคดีพิเศษก็มีมาตรการในการคุ้มครองพยานตามคำร้องแน่นอน