ปอท.เปิดปฏิบัติการ “Annihilate Hybrid Scam” ทลายแก๊ง หลอก-รัก-ลวง-ลงทุน สร้างความเสียหายกว่า 46 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นจับกุม นําโดย พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท., พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รอง ผกก.2 บก. อัครธีระพงศ์, พ.ต.ต.ธนนชัยย์ ศรีบุญจันทร์, ว่าที่ พ.ต.ต.ศุภเดช ธนชัยศิริ สว.บก.ปอท. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.2 บก.ปอท. ร่วมด้วย กก.1 บก.ปอท., บก.ป., บก.ปคม. และ บก.รน. ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา ดังนี้ 1.) นายยุทธชัยฯ อายุ 26 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5154/2567 ลง 25 ต.ค.2567 สถานที่จับกุม อาคาร 3 ชั้น ต.ป่าแดด อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ 2.) น.ส.วรรณิศาฯ อายุ 21 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5144/2567 ลง 25 ต.ค.2567 สถานที่จับกุม โรงแรม แห่งหนึ่งบริเวณถนนเลียบทางด่วน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 3.) นายณรงฤทธิ์ฯ อายุ 24 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5145/2567 ลง 25 ต.ค.2567 สถานที่จับกุมโรงแรมแห่งหนึ่ง บริเวณถนนเลียบทางด่วน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 4.) นายจารุวิทย์ฯ อายุ 19 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5173/2567 ลง 28 ต.ค.2567 สถานที่จับกุมห้องเช่าบริเวณ ถนนสนามบิน ต.รอบเวียง อ.เมือง จว.เชียงราย 5.) น.ส.ศุภิสราฯ อายุ 44 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5174/2567 ลง 28 ต.ค.2567 สถานที่จับกุม บ้าน 2 ชั้น ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จว.เชียงราย 6.) นายฐิติวัฒน์ฯ อายุ 25 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5142/2567 ลง 25 ต.ค.2567 สถานที่จับกุม ห้องเช่า ใน ต.เวียง อ.เชียงแสน จว.เชียงราย 7.) นายวิติฯ อายุ 36 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5134/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ต.บางทรายใหญ่ อ.เมืองมุกดาหาร จว.มุกดาหาร 8.) น.ส.กรรณิกาฯ อายุ 24 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5135/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม บ้านพัก หมู่ 5 ต.บางทรายใหญ่ อ.เมืองมุกดาหาร จว.มุกดาหาร 9.) นายนครินทร์ฯ อายุ 23 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5140/2567 ลง 25 ต.ค.2567 สถานที่จับกุม ห้องเช่า ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย 10.) นายปุณณัตถ์ฯ อายุ 20 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5141/2567 ลง 25 ต.ค.2567 สถานที่จับกุม หอพักใน ต.ท่าสุด อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย 11.) นายชนาธิปฯ อายุ 25 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5152/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม หน้าร้านค้า แห่งหนึ่ง ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จว.สมุทรปราการ 12.) น.ส.ภาวิณีฯ อายุ 33 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 5126/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม ม.4 ต.สําโรงใต้ อ.พระประแดง จว.สมุทรปราการ 13.) นายวิทวัสฯ อายุ 22 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 5125/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม หน้าบ้าน ใน ม.13 ต.มะเกลือเก่า อ.สูงเนิน จว.นครราชสีมา 14.) นายวทัญญูฯ อายุ 25 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 5121/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม ริมถนน สาธารณะ ต.บ้านเหนือ อ.เมืองกาญจนบุรี จว.กาญจนบุรี 15.) น.ส.สวรรณกมลฯ อายุ 22 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 5123/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม ม.14 ต.วังตาล อ.กบินทร์บุรี จว.ปราจีนบุรี 16.) นายเอกพจน์ฯ อายุ 35 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 5127/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม บริเวณหน้าวัด แห่งหนึ่ง ต.ลาดงา อ.เสนา จว.พระนครศรีอยุธยา 17.) นายณัฐชานนท์ฯ อายุ 47 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 5147/2567 ลง 25 ต.ค.2567 สถานที่จับกุม หน้าบ้านพัก ม.3 ต.หนองยายดา อ.ทัพทัน จว.อุทัยธานี 18.) น.ส.ธัญพิมลฯ อายุ 20 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 5143/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม หน้าบ้านพัก ม.10 ต.ระบํา อ.ลานสัก จว.อุทัยธานี 19.) น.ส.กัลยาณีฯ อายุ 20 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 5136/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม หน้าบ้านพัก ม. 1 ต. แก อ.รัตนบุรี จว.สุรินทร์ 20.) นายแทนกายฯ อายุ 28 ปี บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 5118/2567 ลง 25 ต.ค. 2567 สถานที่จับกุม ริมถนนสาธารณะ ม.5 ต.ปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี จว.กาญจนบุรี ซึ่งต้องหาว่ากระทําความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือ โดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะ เหตุที่ได้มีการสมคบ, ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันเป็นอั้งยี่” โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการเปลี่ยนรูปแบบพฤติกรรมเรื่อยมาให้เหมาะสมกับเหยื่อและ สถานการณ์เพื่อให้สามารถหลอกลวงเหยื่อให้ได้ทรัพย์สินมากที่สุด โดยมีรูปแบบการทํางานคล้ายกับบริษัทที่แสวงหาผลกําไร สูงสุดในองค์กร โดยการหลอกลวงลักษณะหลอกให้รักแล้วชักชวนลงทุนฉ้อฉลเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปหรือที่รู้จักกัน โดยทั่วไปว่า “ไฮบริดสแกม” ก็มีการเปลี่ยนรูปแบบพฤติกรรมเช่นเดียวกัน โดยเมื่อประมาณกรกฎาคม 2567 ได้มีเฟซบุ๊กใช้ ชื่อปลอม แอบอ้างเป็นบุคคลหน้าตาดีมีฐานะ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้เสียหาย โดยแกล้งทักผิดมาหาเฟซบุ๊กผู้เสียหาย ในช่วงแรกคนร้ายจะพูดคุยสร้างความสนิมสนมกับเหยื่อประมาณ 1 เดือน ระว่างนั้นมีการวีดีโอคอลหาผู้เสียหายโดยคนร้าย ใช้ AI การสร้างภาพเคลื่อนไหวให้มีหน้าตาเหมือนกับเฟซบุ๊กปลอมทําให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวกําลังพูดคุยอยู่กับ ตนเองจริงๆ โดยเมื่อเหยื่อเริ่มเชื่อโดยสนิทใจแล้วจึงได้เริ่มพูดคุยชักชวนผู้เสียหายลงทุนเพื่อสร้างกําไร โดยส่งลิงกใ์ ห้ดาวน์ โหลดแอปพลิเคชันปลอม ชื่อ “Streaming” ให้ผู้เสียหายดาวโหลดลงโทรศัพท์มือถือและหลอกให้ทําการลงทุน โดยเมื่อเหยื่อ หลงเชื่อโอนเงินให้กับแก๊งคนร้าย คนร้ายได้ส่งแหวนเพชรและช่อดอกไม้มาให้ผู้เสียหายเพื่อสร้างความเชื่อใจมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยผู้เสียหายได้โอนเงินจํานวนมากขึ้นเรื่อย รวมจํานวนทั้งหมด 45 ครั้ง เป็นเงินกว่า 45.8 ล้านบาท ซึ่งท้ายสุดผู้เสียหายเชื่อ ว่าโดนหลอก คนร้ายยังยอมรับกับผู้เสียหายว่าตนถูกบังคับให้ทํางานที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และได้ขอร้องให้ผู้เสียหายโอนเงิน มาเพื่อเป็นค่าไถ่ตัวเองตนเอง จํานวน 200,000 บาท แต่ผู้เสียหายไม่หลงเชื่อ และได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พงส.กก.2 บก.ปอท. ดําเนินคดีตามกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขอออกหมายจับต่อศาลอาญา โดยหมายจับ ดังกล่าวมีกลุ่มบัญชีม้า กลุ่มระดับผู้สั่งการขององค์กรและกลุ่มบริหารจัดการฟอกเงิน มีทั้งคนไทย คนลาว คนกัมพูชาและคน จีน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตํารวจ บก.ปอท. ได้สนธิกําลัง กับ บก.ป., บก.ปคม. และ บก.รน. เปิดปฏิบัติการ “ทลายแก๊งไฮบริดสแกม” โดยเข้าทําการตรวจค้น/จับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทําความผิดดังกล่าว ตรวจค้น จํานวน 21 จุด 11 จังหวัด ทั่ว ประเทศไทย โดยแบ่งเป็นพื้นที่ จังหวัดกรุงเทพฯ 1 จุด, จังหวัดเชียงรายจํานวน 6 จุด, จังหวัดเชียงใหม่ จํานวน 2 จุด, จังหวัดมุกดาหารจํานวน 2 จุด, จังหวัดอุทัยธานี จํานวน 2 จุด, จังหวัดกาญจนบุรี จํานวน 2 จุด, จังหวัดสมุทรปราการ จํานวน 2 จุด, จังหวัดสุรินทร์ จํานวน 1 จุด, จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จํานวน 1 จุด, จังหวัดปราจีนบุรี จํานวน 1 จุด, จังหวัดนครราชสีมา จํานวน 1 จุด โดยจับกุมผู้ต้องหาได้จํานวน 20 ราย โดยจากการจับกุม สามารถจับกุมสมาชิก แก๊งคอลเซ็นเตอร์จํานวน 1 ราย แก๊งฟอกเงินคริปโตเคอเรนซี่ จํานวน 1 ราย, แก๊งกดเงินสดและจัดหาบัญชีม้า จํานวน 9 ราย และผู้เจ้าของบัญชีม้าที่ใช้ในการกระทําความผิด จํานวน 9 ราย ยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมด รวม 208 รายการ อาทิเช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ สมุดบัญชี ซิมโทรศัพท์ บัตรประชาชนของบุคคลอื่น สลิปฝากเงินสด นําส่ง พนักงานสอบสวนดําเนินคดีตามกฎหมาย กลุ่มระดับผู้บริหารจัดการองค์กร โดยมีนายยุทธชัยฯ ผู้ต้องหาลําดับที่ 1 ให้การว่าทําหน้าที่ล่ามและเป็นผู้จัดการในแก๊ง คอลเซ็นเตอร์ของนายทุนชาวจีน มีรูปแบบการจัดการและการทํางานคล้ายบริษัทเอกชน โดยในองค์กรจะมีนายทุนคนจีน ผู้จัดการชาวจีนคอยดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในองค์กร ร่วมกับล่ามคนไทย และผู้จัดการคนลาวในการบริหารทีมงานสําหรับ หลอกลวงเหยื่อ ในแต่ละทีมจะมีหัวหน้าทีมเป็นคนลาวคอยดูแลลูกทีม โดยมี 10 ทีม ในแต่ละทีมมีพนักงานเป็นคนไทยและ คนลาวรวมประมาณ 8-10 คน เริ่มแรกจะมีการจัดหาซื้อบัญชีเฟซบกุ๊ ต่างๆแล้วนํามาเปลี่ยนโปรไฟล์เป็นบุคคลที่ดูมีฐานะการงานน่าเชื่อถือ จากนั้นจะมีกลุ่ม แชทสําหรับคัดเหลือเหยื่อส่งให้กับทีมต่างๆ โดยในแต่ละทีมจะมีการคัดสรรเหยื่อโดยดูจากฐานะการเงิน ทรัพย์สิน การใช้ ชีวิตและครอบครัวของเหยื่อ ก่อนที่จะเริ่มใช้บัญชีเฟซบุ๊กปลอมทักหาเหยื่อ โดยเมื่อเหยื่อเริ่มมีการพูดคุยกับคนร้าย คนร้ายจะชวนคุยเรื่องทั่วไปและมีการส่งภาพกิจกรรมต่างๆ มาให้ประกอบการสนทนา โดยภาพต่างๆ คนร้ายจะมีกลุ่ม สําหรับการจัดเตรียมรูปภาพไว้ อาทิเช่น ภาพทานอาหาร, ภาพทําบุญ หรือภาพการเดินทางต่างๆ เมื่อลูกทีมคุยกับเหยื่อจน เหยื่อเริ่มไว้ใจจะเริ่มมีการชักชวนลงทุนและส่งลิงก์แอปฯปลอมที่ใช้ในการลงทุนให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน จากนั้นจะเริ่มมี การโอนเงิน ก็จะส่งงานต่อให้ผู้จัดการคนจีน ล่ามคนไทย ผู้จัดการคนลาว และหัวหน้าทีมคนลาว ในการโอนเงินของเหยื่อ ต่อไป และเมื่อหลอกลวงเงินผู้เสียหายได้แล้วจะได้รับค่าคอมมิชชั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ตามจํานวนเงินที่หลอกลวงมาได้ โดยจากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว มีการหลอกลวงลักษณะหลอกลงทุน, หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (Hybrid Scam) และการขู่กรรโชกทางเพศจากภาพโป๊เปลือย (Sextortion) โดยนายยุทธชัยฯ ได้รับเงินเดือนจากการทํางาน ประมาณ 8,000 หยวน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 40,000 บาท) และรับเงินค่าคอมมิชชั่นที่ได้จากการหลอกลวงเพิ่มเติมตาม จํานวนเงินที่หลอกลวงได้ พบเหยื่อที่ถูกหลอกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวเป็นคนไทย คนสหรัฐอเมริกา และคน เวียดนาม จากการตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆของนายยุทธชัยเพิ่มเติมพบว่าในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวยังมีการ ใช้แอปพลิเคชันปลอมในการหลอกลวงผู้เสียหาย 5 แอปพลิเคชัน คือ Streaming, TellMall, ETF Trade, Fhxcm และ Fxcm โดยตรวจสอบจากข้อมูลการรับแจ้งความออนไลน์จากระบบ Thaipoliceonline พบว่า มีจํานวน 29 คดี ความ เสียหายประมาณ 63 ล้านบาท อีกทั้งขณะทําการจับกุมนายยุทธชัยฯ พบว่านายยุทธชัยฯ กําลังรับงานยิงแอดโฆษณาให้กับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน เพื่อหลอกลวงคนตุรกีและแอฟริกา กลุ่มฟอกเงินคริปโตเคอเรนซี่ นายชนาธิปฯ ผู้ต้องหาลําดับที่ 11 ให้การว่ามีหน้าที่ฟอกเงินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะ จัดหาบัญชีม้าในการฟอกเงิน โดยแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ (USDT) เงินบาท เงินหยวนและเงินกีบ ตามที่แก๊งคอล เซ็นเตอร์ต้องการ คิดค่าบริการร้อยละ 5-10 ของยอดเงินในแต่ละครั้ง กลุ่มหาบัญชีม้าและกดเงินสด โดยมี ผู้ต้องหาลําดับที่ 2-10 ให้การว่าได้รับว่าจ้างจากคนลาวในการเป็นนายหน้าหาคนไทย มาเปิดบัญชีม้า, ช่วยในการเปิดบัญชีธนาคารออนไลน์และพาคนไทยไปสแกนหน้าโอนเงินฝั่งประเทศลาว โดยรับค่าจ้างได้รับ บัญชีละ 3,000 – 8,000 บาท และแก๊งกดเงินสด มีการรับกดเงินสดตามคําสั่งของคนลาวและนําเงินส่งให้คนลาวที่บริเวณ ตะเข็บชายแดนได้รับค่าจ้างประมาณร้อยละ 2 ของยอดเงินที่ให้กดในแต่ละครั้ง ตรวจสอบเงินย้อนหลัง 6 เดือน รวมเงินสดที่ กดให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประมาณ 28 ล้านบาท โดยจากการสืบสวนขยายผลยังพบผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติมอีกจํานวนหลายราย โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจจะได้รวบรวม พยานหลักฐานยื่นคําร้องขอออกหมายจับกลุ่มบุคคลดังกล่าวต่อไป














