หนุ่มวัย 39 ปี เจอคู่อริขี่รถไล่กระทืบ ซวย ปืนที่พกมาก็ดันมาลั่นใส่ขาตัวเองเจ็บ

หนุ่มวัย 39 ปี เจอคู่อริขี่รถไล่กระทืบ ซวย ปืนที่พกมาก็ดันมาลั่นใส่ขาตัวเองเจ็บ วันที่ 6 มีนาคม 2567 เวลา 9.00 น. ร้อยตำรวจโท วัชรกรณ์ กุมผัน รอง สว.สอบสวน สน.ทุ่งครุ รับแจ้งมีเหตุชายถูกยิงด้วยอาวุธปืนได้รับบาดเจ็บ จึงรีบรุดจัดกำลังพร้อมประสานอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู เร่งรัดตรวจสอบที่้เกิดเหตุทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุพบจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามโรงเรียนราษฎร์บูรณะ ( มูลฮัมหมัดอุทิศ ) ถนน ประชาอุทิศ แขวง ทุ่งครุ เขต ทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบภายในที่เกิดเหตุพบผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นชาย 1 ราย ในลักษณะนอนหงายหน้าจมกองเลือดอยู่บนพื้นฟุตบาท สวมกางเกงขาสั้นสีขาว ไม่สวมเสื้อ ไม่สวมรองเท้า พบบาดแผลเปิดขนาดใหญ่บริเวณน่องขาข้างขวา ร้องโอดโอยรอการช่วยเหลือ ซึ่งทราบชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บต่อมาชื่อนาย พงศ์สิทธ์ พงษ์จุขันธ์ อายุ 39 ปี มีอาชีพขับรถโบลท์ และใกล้กันยังพบกับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น MSX สีขาว ทะเบียน 2กก 8748 กรุงเทพมหานคร ในลักษณะล้มตะแคงคว้ำอยู่กับพื้นได้รับความเสียหาย ตรวจสอบแล้วเป็นรถจักรยานยนต์ของผู้ได้รับบาดเจ็บเอง อาสาสมัครให้การปฐมพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บเบื้องต้นภายในที่เกิดเหตุแล้วนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเจริญกรุงอย่างเร่งด่วน และจากการสอบถาม นางสาว เสาวลักษ์ เหมสะอาด อายุ 28 ปี เป็นแฟนสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บกล่าวว่า ตนมากับแฟนขับรถมาทางตลาด 61 แล้วคู่กรณีก็ขับรถมาตีข้างแต่อยู่ห่างๆแล้วก็ให้ของรับแล้วก็ด่าว่าขับรถเหี้ยอะไรของมึงไอ้สัตว์ อยู่ดีๆก็ด่า แล้วแฟนก็บอกว่าเฮ้ยไอ้ติ๊บนี่หว่า ตนก็บอกกับแฟนว่าก็แล้วแต่เธอ เพราะว่าตนกำลังจะมาส่งลูกที่โรงเรียนตรงนี้พอดีก็เลยขับตรงกันมาแฟนของตนขับนำหน้ามาก่อนแล้วคูกรณีก็ขับรถตามมาแล้วจะขับรถชน แล้วทีนี้แฟนก็เลยจะวนรถ แล้วทีนี้ก็วนไม่ได้แล้วก็เสียหลักล้มลงแล้วปืนที่แฟนพกมาก็ตกพื้นแล้วก็ลั่นใส่ขาของแฟนตน ยืนยันเลยว่าแฟนของตนไม่ได้ยิงใครแล้วพอแฟนของตนโดนปืนลั่นใส่ที่ขาจนล้มลงไปกับพื้นส่วนคู่กรณีก็เดินมาจะทำร้ายแฟนของตนซ้ำอีก ตนก็เลยต้องผลักคู่กรณีออกไปและก็พยายามที่จะห้ามไม่ให้เข้ามาทำร้ายแฟนของตนซ้ำ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดแล้วและได้นำอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ พร้อมรถจักรยานยนต์ของผู้ได้รับบาดเจ็บไปตรวจสอบที่ สน.ทุ่งครุ และเมื่อผู้ได้รับบาดเจ็บอาการดีขึ้นแล้วหรือพอที่จะให้การได้ก็จะเรียกมาสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดอีกครั้งพร้อมทั้งจะเร่งติดตามคู่กรณีมาสอบถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป