นนทบุรี คลิป เปิดใจลูกชายลูกสะใภ้โต้กลับไม่เคยทำสเน่ห์มนต์ดำยกมือไหว้ผ่านสื่อไม่ขอเจอแม่ต่างคนต่างอย่
จากกรณี เมื่อวันที่ 2 ก.ค.66 ที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวเดินทางลงพื้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง ได้รับการเปิดเผยถึงเรื่องราวชีวิตอันแสนเศร้า ของคุณประภารัตน์ หรือ ป้าโอ๋ ศรีอนงค์อายุ 62 ปี ที่อยากเจอหน้าลูกชายคือนายคุณวุฒิ หรืออั๋น อายุ 28 ปี หลังไปอยู่กินฉันสามีภรรยา กับน.ส.รมิตา หรือมะลิ อายุ 26 ปี แล้วทิ้งผู้เป็นแม่ไปโดยไม่เหลียวแล ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย แม้กระทั่ง โทรศัพท์มือถือก็บล็อคเบอร์แม่ ย้ายที่อยู่อาศัยไม่ให้ป้าโอ๋ผู้เป็นแม่ได้รับรู้ จนทุกวันนี้ป้าโอ๋กินไม่ได้นอนไม่หลับมานานกว่า 1 ปี เพราะคิดถึงแต่ลูกชายเพียงคนเดียวที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะจนเติบใหญ่ส่งเสียเล่าเรียนจนจบชั้น ปวส.
ล่าสุดเมื่อเวลา 18.00 น.วันที่ 3 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวเดินทางเข้าพบนายคุณวุฒิ(ขอสงวนนามสกุล)หรืออั๋น อายุ 28 ปี ลูกชายของนางประภารัตน์ หรือป้าโอ๋ ศรีอนงค์ อายุ 62 และน.ส.รมิตา หรือมะลิ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี แฟนสาว พร้อมด้วยนางบังอร อายุ 44 ปี แม่ของน.ส.รมิตา ได้ออกมาเปิดใจกับผู้สื่อข่าวถึงสาเหตุที่ต้องออกจากบ้านมาพร้อมกับแฟนสาวที่อดทนอยู่ที่บ้านของนางประภารัตน์นานกว่า 3 ปี
นายคุณวุฒิ กล่าวว่า ตนกับแฟนสาวชื่อมะลิคบกันมาประมาณ 4 ปีกว่า ย้อนไปเมื่อปี 62 ตนกับแฟนได้อาศัยอยู่ที่บ้านตนกินนอนด้วยกัน โดยในบ้านอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มีตน แฟน พี่สาวตน และก็แม่ของตน ช่วงแรกก็อยู่กันปกติไม่มีปัญหาอะไร ตนก็สู้ชีวิตทำงานหาเงินเข้าบ้านด้วยการขับแกร็ป ต่อมาก็มีเริ่มมีปัญหาระหองระแหงกันมาตั้งแต่ปี 63 จนกระทั่งปี 65 แฟนตนเรียนจบปัญหาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ คนที่บ้านตนจะมีปัญหากับแฟนตน ทำอะไรคนที่บ้านก็ไม่ถูกใจ ไม่ชอบหน้าเรื่องเล็กๆน้อยๆก็มีปัญหาหมด ซึ่งช่วงปี65 แฟนตนเรียนจบกำลังทำงาน แม่ตนก็อยากให้แฟนตนจ่ายค่าบ้านให้ แต่ทางแฟนตนก็มีภาระที่บ้านต้องให้เงินแม่จ่ายค่าบ้านเพราะพ่อแฟนทำงานคนเดียว แม่ตนก็ไม่เข้าใจจะเอาเงินแฟนตนอย่างเดียว และความรู้สึกตนที่เป็นผู้ชายตนต้องดูแลแฟนและที่บ้าน เคยบอกกับแม่แล้วว่าตนจัดการเองได้เรื่องค่าบ้านแต่ก็ไม่ฟัง จนกระทั่งทะเลาะกันหนักขึ้นเรื่อยๆจนแม่ตนคิดว่าตนโดนของ แอบหยิบผ้าถุงแล้วอาศัยจังหวะตนเผลอเอามาคลุมหัวตน ตนก็งงว่าเอามาคุมทำไม หากขอดีๆก็จะยอมทำให้ ตนจึงตัดสินใจพาแฟนออกจากบ้านและไปเช่าห้องอยู่ด้วยกันสองคน จากนั้นแม่ตนก็พยายามติดต่อหลายช่องทาง การร้องเรียนไปที่มูลนิธิกระจกเงาได้โทรติดต่อหาตนว่าตนเป็นคนหาย ตนก็บอกไปว่าตนสบายดี ทางมูลนิธิบอกกับตนอีกว่าแม่ตนอาการไม่ค่อยดีเริ่มเลอะเลือนแล้ว ส่วนสาเหตุจริงๆที่ตนออกมาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องเงิน มีน้าสาวตนชื่อน้าเล็ก เป็นข้าราชการ คอยบงการแม่ตนอยู่ตลอด ซึ่งหน้าสาวคนนี้ชอบพูดจาหาเรื่องมีวันหนึ่งไม่พอใจตนจะเข้ามาทำร้ายพอแฟนตนเข้ามาห้ามทางน้าสาวก็ได้ถีบไปที่แฟนตนอีกด้วย จึงตัดสินใจออกมาแล้วไม่บอกใครตอนออกมาตนเอาสร้อยคอทองคำของตน เสื้อผ้า และรถจยย. ออกมาเช่าหออยู่กับแฟนที่กล่าวไปตอนต้น ซึ่งตนยังไม่ได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านแฟน ช่วงหลังตนเปลี่ยนงาน และตั้งใจเก็บเงินเพื่อจะซื้อบ้านสร้างตัว จึงย้ายมาอยู่บ้านแฟนแทนเช่าหอ ไม่มีใครบังคับหรือกักขังหน่วงเหนี่ยวทั้งสิ้น ตนกับแฟนอดทนมานานกว่า 3 ปี พูดกันทุกวันว่าช่วยกันทำงานสักวันมันจะดีขึ้นแต่มันก็ไม่ดีสักที ตอนออกมาตนยังใช้เบอร์ตืดต่อเบอร์เดิมแต่เพียงแค่บล็อกเบอร์แม่ และน้าสาว ตนไม่อยากให้มายุ่งวุ่นวาย ซึ่งน้าสาวคนนี้จะเอาเอกสารอะไรสักอย่างจะมาให้ตนเซ็นชื่อย่างเดียว มีการทักไลน์มาตื้อ มาขอร้องให้เซ็นเอกสาร จึงอยากขอให้น้าสาวเลิกบงการครอบงำแม่ตนสักทีแค่นี้บ้านตนก็แย่พออยู่แล้ว ยืนยันตนสบายดีไม่ต้องห่วง ส่วนความรู้สึกตนกับแม่ตอนแรกตนก็อยากกลับไปแต่ตนมาเจอเรื่องนี้ออกข่าวกลายเป็นว่าตนเป็นคนอกตัญญูทิ้งแม่ไปอยู่กะแฟนความรู้สึกตนแย่กว่าเดิมและไม่อยากกลับไปจุดนั้นอีกแล้ว ทั้งความรู้สึกตนและความรู้สึกครอบครัวของแฟนที่ต้องมาเจอแบบนี้ทั้งๆที่ครอบครัวของแฟนตนไม่เคยมาระรานครอบครัวตนขนาดนี้ ทั้งแม่และน้าสาวเคยดูถูกและไล่ตนกับแฟนออกจากบ้านแล้วพูดว่า “ไม่มีกูมึงจะอยู่ได้ไหม” ซึ่งตอนนี้ตนก็อยู่ได้แล้ว ยืนยันว่าไม่ได้โดรธแต่ไม่อยากยุ่ง ความเป็นแม่ตนตัดขาดไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีใครตัดแม่ตัวเองลงได้ สุดท้ายตนขอให้น้าสาวอย่ามายุ่งกับตนอีกเลยต่างคนต่างอยู่ตนขอจบเพียงเท่านี้ ส่วนคอมเม้นต์หรือชาวเน็ตที่มาแสดงความคิดเห็นตนก็เข้าใจว่าการฟังความข้างเดียวก็จะคิดแบบนั้น แต่หารู้ไม่ว่า “เหรียญมันมีสองด้านเสมอ”
น.ส.รมิตา กล่าวว่า ตนอาศัยอยู่บ้านแฟนมานานกว่า 3 ปี ตั้งแต่ช่วงตนเรียนจบแล้วทำงานตนช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในบ้านแฟนเดือนละ 1,500 บาท แต่น้าสาวแฟนตนไม่พอใจเอาตนไปพูดกับคนอื่นว่าเงินมันน้อยไป ตนได้ยินก็ไม่อยากให้เงินต่อเพราะตั้งใจให้เองโดยไม่มีใครมาขอ บางวันก็บ่นว่าตนไม่ทำงานบ้าน ตนก็ปรับตัวช่วยทำ แต่พอทำก็อ้างว่าทำไม่สะอาด ค่อตนทำอะไรก็ไม่พอใจ ซึ่งตนป่วยเป็นไทรอยด์เป็นพิษ ทางบ้านแฟนก็รับรู้ แทนที่เขาจะเห็นใจกลับมาไล่ตนให้กลับไปอยู่บ้าน กลัวว่าต้องมาดูแลหรือเสียเงินรักษา ตนกับแฟนไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายเรื่องเงินของครอบครัวของแฟน ทุกอย่างข้าวปลาซื้อมากินเองหมด อยู่เหมือนบ้านเช่า ไม่ได้อยู่เหมือนครอบครัวคนอื่น มีช่วงหลังๆตอนที่อยู่ด้วยกันตนชวนแฟนมาทำงานพาร์ทไทม์ ทางบ้านแฟนก็อยากได้เงินจากแฟนไปใช้จ่ายในบ้านมากขึ้น ซึ่งพวกตนทำงานพาร์ทไทม์เงินไม่ได้เยอะ พอน้าสาวแฟนมารู้ว่าตนให้เงินที่บ้าน 6,000 บาท แม่ตนโทรมาบอกว่าน้าสาวของแฟนไปยืนด่าหน้าบ้าน ต่อว่าครอบครัวตน แม่ตนจึงอัดคลิปมาให้ตนดู ก่อนหน้านี้ทางครอบครัวแฟนได้มาคุยกับแม่เรื่องจะมาสู่ขอหลังเรียนจบ ตนจึงอดทนอยู่เผื่ออะไรจะดีขึ้น แต่กลับแย่ลงขึ้นทุกที น้าสาวแฟนก็ด่าตนด้วยคำพูดที่หยาบคายซึ่งตนเกิดมาไม่เคยเจอ เป็นสาเหตุที่ทำให้ตนทนไม่ไหวและตัดสินใจเดินออกมา ซึ่งน้าสาวแฟนเคยกระชากตนจากที่นอนและไล่ตนกับแฟนออกไปจากบ้าน ตนกับแฟนจึงออกมาเช่าหออยู่ด้วยกัน ซึ่งเรื่องราวตนก็ไม่ทราบว่าที่ตามหาแฟนตนคิดถึงหรือว่าต้องการลายเซ็นจากแฟนตน เพราะก่อนหน้านี้ทางแม่แฟนเคยเอาเอกสารมาให้เซ็นแฟนตนเซ็นซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเอกสารอะไร แต่แม่แฟนบอกว่าเป็นเงินเก็บที่น้าเก็บไว้ให้ ทั้งลุง ป้า น้า มีการทักไลน์โทรตามให้มาเซ็นเอกสารอยู่เสมอ
พอตนกับแฟนบอกว่าอยู่ตจว.ก็บอกจะเหมารถไปหา ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าถ้ารักลูกจริงๆ จะมาหาลูก จะเอาเอกสารเรื่องเงินมาให้เซ็น วันนี้ตื่นเช้ามาตกใจเห็นข่าวรู้สึกตกใจ ว่าตนจะไปทำของใส่แฟนทำไม ถ้าจะทำไปทำใส่คนรวยๆดีกว่า ตนจะได้สบาย ตั้งแต่ตนคบกับแฟนมาช่วงที่แฟนยังไม่ทำงานการใช้จ่ายก็เป็นตนที่จ่ายมากกว่า ทั้งเรื่องกินและเที่ยวตนทั้ง 2 คน ต่างคนต่างกันช่วยซัพพอร์ตกัน วันนี้ครอบครัวของแฟนกล่าวหาตนมากเกินไป เหมือนว่าอาจจะดูละครมากไป ตอนนี้ข่าวออกไปหลายช่องตนรู้สึกอายที่แม่แฟนมาพูดถึงให้ตนเสียหาย ตั้งแต่ตนกับแฟนออกมาจากบ้านมามีแต่คนบอกว่าแฟนตนดูดีขึ้น โตขึ้น ตนกับแฟนมีความตั้งใจจะสร้างครอบครัว ถูกน้าสาวแฟนโพสต์เฟซบุ๊กด่าประจำตนก็ไม่สนใจ ตนเคยไปลงบันทึกประจำวันไว้เพราะกลัวน้าของแฟนซึ่งทำงานเป็นข้าราชการใหญ่โตมาขู่ตนว่ารู้จักนายก ตนเลยต้องป้องกันไว้ก่อน เพราะแม่ตนอยู่กับน้องสาวซึ่งตนไม่ได้อยู่ด้วย ตนอยากให้น้ากับแม่แฟนเลิกยุ่งและเลิกจองเวรจองกรรมกันซักที ตนกับแฟนไม่เคยคิดจะอกตัญญู ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้แม่กับน้าแฟน น้าแฟนโพสต์ว่าไม่มีหลานคือหมายถึงตัดแฟนตน ตนก็ขอให้เป็นแบบนั้นและอย่ามายุ่งกับพวกตนอีก และที่แม่แฟนตนให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่ารักตนเหมือนลูกมันไม่ใช่ความจริงแม้แต่เพียงนิดเดียว คำพูดกับการกระทำมันสวนทางกันเกิดไป
นางบังอร กล่าวว่า เมื่อปี 65 ลูกสาวตนเรียนจบปริญญาตรีมาตนไม่มีของขวัญอะไรให้ลูก แต่เห็นลูกสาวทำงานขี่จยย.ตากฝนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ตนจึงให้รถยนต์ลูกสาวไปไว้ใช้ขับไปทำงานซึ่งตอนนั้นลูกสาวตนยังอาศัยอยู่บ้านของแฟนหนุ่ม หลังจากที่ตนให้รถยนต์ลูกสาวไปใช้น้าสาวของผู้ชายมาโวยวายหน้าบ้านพูดจาไม่ดี ถามตนว่าให้รถลูกไปทำไม แล้วพูดเหมือนเป็นห่วงตนว่าตนจะเอารถยนต์ที่ไหนใช้ ตนจึงบอกกลับไปว่าเดี๋ยวซื้อใหม่มีเงิน เพียงแค่อยากช่วยลูกสาวของตนเท่านั้น ทุกครั้งที่น้าของผู้ชายมาที่บ้าน ไม่เคยพูดจาดีเลยซักครั้ง น้าของผู้ชายเข้ามาที่บ้านรวมๆถึง 3 ครั้ง เปิดประตูเข้ามา วันนั้นปี65 ตามในคลิปซึ่งเป็นบ้านเช่าหลังเก่าของตนตนบันทึกวิดิโอขณะที่น้าสาวของน้องอั๋นแฟนลูกสาวเดินเข้ามาหน้าประตู ซึ่งตอนนั้นอั๋นอยู่ด้วย ตนจึงให้อั๋นออกไปคุยให้รู้เรื่อง เพราะไม่อยากให้มาวุ่นวายกับคนในครอบครัว ตนไม่ชอบ แต่อั๋นไม่ยอมออกไป ตนจึงบอกว่าเดี๋ยวตนเดินไปด้วย จึงเดินไปและมีการโต้เถียงกันเล็กน้อยตามในคลิป กลับกลายเป็นว่าตนถูกกล่าวหาว่าไปกักขังหน่วงเหนี่ยวอั๋น วันนี้ตนเห็นข่าวออกไปในทิศทางที่ไม่เป็นธรรม ตนรู้สึกไม่สบายใจ และขอฝากถึงนักข่าวว่า เวลาจะลงข่าวอะไรอยากให้ฟังความทั้งสองฝ่ายอย่าด่วนสรุปว่าอันไหนเรื่องจริงอันไหนเรื่องเท็จ เพราะทั้งคู่บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงอยากให้จัดการกันเอง และอยากให้จบๆกันไป ต่างคนต่างทำงาน ต่างทำมาหากิน และสุดท้ายอยากฝากอีกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่คน เมื่อลูกถึงฝั่งก็ควรจะดีใจและยินดี ไม่ใช่จะมาเป็นพ่อแม่รังแกฉันแบบนี้









