DSI ทลายเหมืองบิตคอยน์ “แก๊งจีนเทา” สมุทรสาคร-อุทัยธานี ทำรัฐเสียหายกว่า 3 พันล้าน
DSI สนธิกำลังร่วมกับ กฟภ. เปิดปฏิบัติการ ‘Operation Copperhead’ ทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อน พื้นที่สมุทรสาคร-อุทัยธานี เชื่อมโยงขบวนการจีนเทา – พม่า ยึดเครื่องขุด 3,642 เครื่อง ทำรัฐเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท
วันนี้ (วันพุธที่ 3 ธันวาคม 2568) เวลา 15.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายโกมล พรมเพ็ง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจตรี จตุพล บงกชมาศ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร้อยตำรวจเอก เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ นายธนะ โชคพระสมบัติ รองผู้ว่าการปฏิบัติการระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อนภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “Operation Copperhead”
ปฏิบัติการดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันอังคารที่ 2 ธันวาคม 2568 พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจตรี จตุพล บงกชมาศ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอก เขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ เจ้าหน้าที่กองปฏิบัติการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สนธิกำลังร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 (ภาคกลาง) ปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อน “Operation Copperhead” ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 6 จุด และจังหวัดอุทัยธานี จำนวน 1 จุด รวมจำนวน 7 จุด ประกอบด้วย โกดัง 4 จุด และบ้านพัก 3 จุด
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึด/อายัดเครื่องขุดบิดคอยท์จากโกดัง รวมทั้งสิ้น 3,642 เครื่อง ประมาณ 270 ล้านบาท มูลค่าระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ 30 ล้านบาท โดยประเมินมูลค่าของอุปกรณ์ ในการลงทุนตั้งเหมืองขุดบิตคอยน์เถื่อนทั้งระบบรวม 4 จุด มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ซุกซ่อนเครื่องขุดบิตคอยท์ไว้ภายในตู้คอนเทนเนอร์ ที่ถูกดัดแปลงด้วยนวัตกรรมใหม่ในการเก็บเสียง และใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบการลักลอบใช้ไฟฟ้า
จากการขยายผลการสืบสวนพบว่าผู้บงการรายใหญ่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม “จีนเทา” เครือข่ายในพม่า ซึ่งโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ โดยตรวจพบเส้นทางการเงินและผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกันเป็นเครือข่ายอย่างชัดเจน ดำเนินการกว่า 3 ปี ทำให้รัฐสูญรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท
ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อขยายผลเกี่ยวกับเส้นทางการฟอกเงินและการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง โดยเตรียมประสานความร่วมมือกับประเทศผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงทางการของจีน ซึ่งได้มีการหารือร่วมกันเบื้องต้นแล้ว เพื่อเร่งรัดการดำเนินคดีและสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง และจากข้อมูลที่ตรวจพบ คาดว่ามีเงินหมุนเวียนภายในเครือข่ายมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยเส้นทางการเงินบางส่วนโยงเข้าสู่ระบบสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทบิตคอยน์ ทำให้เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างรายได้ให้กับกลุ่มจีนเทาและเครือข่ายสแกมเมอร์ดังกล่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่าจะเดินหน้าปราบปรามการลักลอบใช้ไฟฟ้า การฟอกเงิน และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐและความปลอดภัยของประชาชน
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ปฏิบัติการ “รื้อเหมืองขุดบิตคอยน์ลับ”(Bitforge Operation) ตรวจยึดเครื่องขุดบิตคอยน์จำนวน 1,788 เครื่อง ในพื้นที่ในจังหวัดสมุทรสาคร และทำการขยายผลจนพบการลักลอบใช้ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขุดบิตคอยน์ในกรณีดังกล่าวข้างต้น









