นนทบุรี จ่าจ๊อดไม่จบ !
สาวพยาบาลร้องทนายดังถูกอดีตสามีตามราวีไม่เลิกแอบติด GPS.หลังหย่าขาดกันแล้ว
จากกรณีเมื่อวันที่ 28 เม.ย.68 ที่สภ.บางใหญ่ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม , นายชาญชัย ฉายบุ และนางชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิ รณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วย จ่าสิบเอกจิรวัฒน์ หรือจ่าจ๊อดกระแสรสินธุ์ อายุ 41 ปี อดีตนายทหารนอกราชการสังกัดกรมพระธรรมนูญ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรม เพื้อติดตามความคืบหน้าคดีจาก พ.ต.อ.สิรภพ อนุศิริ ผกก.สภ.บางใหญ่ กรณี จ่าจ๊อด ถูกพ่อตา-แม่ยาย-น้องชายภรรยา รวมทั้งลูกน้องพ่อตา จับมัดมือมัดเท้าโยนขึ้นรถปิคอัพ นำตัวจากบ้านพักที่อำเภอขาณุวรลักษณ์ จังหวัดกำแพงเพชร มาส่งคืนให้ญาติของจ่าจ๊อดในบ้านพักภายในหมู่บ้านพระปิ่น 3 ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยระหว่างอยู่ในรถได้ถูกทำร้ายร่างกาย ด้วยการชกต่อยใบหน้าและตามร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ ส่วนบริเวณ ข้อมือที่ถูกมัดด้วยเชือกบริเวณนิ้วก้อยข้างขวามีบาดแผลอย่างเห็นได้ชัด ทางจ่าจ๊อด จึงได้เข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับทั้ง 4 คน ในข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายและกักขังหน่วงเหนี่ยว โดยแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.บางใหญ่ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 67 แต่คดีผ่านมาจะ 1 ปี กลับไม่มีความคืบหน้าจากพนักงานสอบสวน สภ.บางใหญ่เลย
จ่าจ๊อด เล่าว่า ตนอยู่กินกับภรรยามานานกว่า 5 ปี มีบุตรชาย 1 คนอายุ 4 ขวบโดยภรรยาเป็นพยาบาลแห่งหนึ่งใน รพ.สต. ในจังหวัดกำแพงเพชร ส่วนพ่อตาทำงานอยู่ใน อบต. แห่งหนึ่ง และเป็นห่วงคะแนนให้กับนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังในจังหวัด เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 67 ตนนั่งดื่มเหล้าในห้องนอนได้มีนางแสงจันทร์ แก้วมนตรีแม่ยาย เข้ามาด่าทอต่อว่าตนเรื่องดื่มสุราจึงมีปากเสียงกัน จากนั้นได้มีนายอัฐพล แก้วมนตรี (พ่อตา) นายวัชรพงศ์ (น้องเมีย) และนายบุญ ไม่ทราบนามสกุล ลูกน้องของพ่อตารวม 4 คน โดยทั้งหมดได้ใช้เชือกไนลอนสีน้ำเงินมัดมือไขว้หลังตนเอง ก่อนจะจับโยนขึ้นรถกระบะ 4 ประตู และเมื่ออยู่ในรถทั้งหมดยังช่วยกันเอาเชือกอีกเส้นหนึ่งมัดเท้าตน โดยมีนายวัชรพงศ์ น้องภรรยาเป็นคนขับมีพ่อตาแม่ยาย และลูกน้องของพ่อตานั่งประกบตนอยู่ในรถ เมื่อถึงบ้านของลุงตนเอง ในหมู่บ้านพระปิ่น 3 ทั้งหมดก็ได้ เอาตนส่งให้กับแม่และลุงของตนเอง หลังจากแม่และลุงเห็นสภาพตนเองถูกมัดมือมัดเท้ามีร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย จึงรีบบอกให้ทางฝ่ายพ่อตาแม่ยายแก้มัด ก่อนที่คุณแม่และลุง จะนำตนเองส่งโรงพยาบาลบางใหญ่ รักษาอาการบาดแผล จนกระทั่งวันที่ 29 เมษายน 67 ตนเองจึงได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสภบางใหญ่เพื่อให้ดำเนินคดีกับทั้ง 4 คนในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกายและยืนยันว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุด แต่เวลาผ่านมาเนิ่นนานกว่า 1 ปีแล้ว คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า จึงต้องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากทางมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมเพื่อให้ช่วยเหลือติดตามคดี
ขณะที่ พ.ต.อ.สิรภพ กล่าวว่า ตนเพิ่งย้ายมารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่เดือน เบื้องต้นได้ดูสำนวนการสอบสวน รวมทั้งรายละเอียดในด้านคดีแล้ว ยืนยันให้ ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ส่วนคดีนั้นเกิดขึ้นทั้งในเขต สภ.บางใหญ่และใน พื้นที่ของจังหวัดกำแพงเพชร ทางพนักงานสอบสวนต้องทำคดีให้อย่างละเอียดรอบคอบ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในครอบครัว ฝ่ายไหนผิดก็ว่ากันไปตามผิดภายในถูกก็ว่าวกันไปตามถูก เท่าที่ตนได้รับรายงาน ทางฝ่ายของจ่าจ๊อดเอง ก็ถูกทางฝั่งพ่อตาแม่ยายแจ้งความดำเนินคดีหลายข้อหาเหมือนกัน หลังพูดคุยอธิบายให้จ่าจ๊อดฟัง จึงได้บทข้อสรุปว่า ทาง พ.ต.อ.สิรภพ และทนายรณณรงค์ จะประสานหาบทสรุป และประสานไปทางพ่อตาแม่ยายของจ่าจ๊อดรวมทั้งภรรยา ให้มาพูดคุยกัน ที่ สภ.บางใหญ่ เพื่อหาทางออก หากไม่สามารถตกลงกันได้ฝ่ายไหนจะดำเนินคดีกันอย่างไร ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย แต่เบื้องต้นแล้วอยากให้ทั้งสองฝ่ายยอมยอมพูดคุยและตกลงกันเนื่องจากเป็นปัญหาภายในครอบครัว
ล่าสุดวันนี้ (30 เม.ย.68 ) เวลา 15.00 น. ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถ.แจ้งวัฒนะต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี น.ส.พัชราภรณ์ แก้วมนตรี หรือน้องบุ๋ม อายุ 34 ปี พยาบาลสาว พร้อมบิดา-มารดา เข้าร้องเรียนกับทนายรณรงค์แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิ นางชฎาภรณ์ พงศ์ทอง ที่ปรึกษามูลนิธิ ว่าถูกอดีตสามี “จ๋าจ๊อด” อดีตนายทหารสังกัดกรมพระธรรมนูญ ตามราวีไม่เลิก ทั้งๆที่หย่าขาดจากกันเรียบร้อยแล้ว น้ำไม่ทำหน้าที่พ่อที่ดี ไม่ส่งเสียเลี้ยงดู ลูกชายเลย แต่กลับนำเครื่องติดสัญญาณ GPS มาติดไว้ในรถของตนเอง กล่าวหาว่าตนไปมีคนอื่นทั้งๆที่เราสองคนหย่าจากกันแล้ว
น้องบุ๋ม เล่าด้วยความข่มขืนว่า ตนกับอดีตสามีได้หย่าขาดจากกันเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 68 จ่าจ๊อด อดีตสามีรับปากว่าจะส่งเสียเลี้ยงดูลูกชายเดือนละ 5,000 บาทแต่ก็ไม่เคย ทำตามที่พูดไว้ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังตามราวีตนไม่เลิกหาว่าตนไปมีคนอื่น ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ยังแอบติดตั้งเครื่องสัญญาณ GPS ใส่ไว้ในรถเก๋งของตนเอง เพื่อคอยติดตามความเคลื่อนไหว และไปร้องเรียนกับหัวหน้าของตน ซึ่งปัจจุบันตนทำงานเป็นพยาบาลอยู่ รพ.สต. ในเครือของ อบจ.กำแพงเพชร กลับถูกอดีตสามี กล่าวหาร้องเรียนว่า ตนป่วยเป็นโรคจิตมาให้ทำงานได้อย่างไร โชคดีที่ผู้บังคับบัญชาเข้าใจและไม่เชื่อในคำพูด
ในระหว่างที่ “น้องแทนคุณ” อายุ 4 ปีลูกชายของตนที่เกิดกับจ่าจ๊อด กำลังจะสอบ อดีตสามีได้มารับ ลูก และไปอ้างกับทางโรงเรียนว่า ยังไม่พร้อมให้สอบขอเลื่อนไปก่อนเพราะจะพาลูกเข้ากรุงเทพฯ ทำให้ในวันนั้นลูกชายตนเองไม่สามารถสอบได้เหมือนเด็กคนอื่นๆตนไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาต้องตามราวีและกลั่นแกล้งตนเองทุกอย่างทั้งๆที่ตนเป็นฝ่ายหาเงินเลี้ยงลูกคนเดียว ตัวเขาซึ่งเป็นพ่อกับไม่เคยรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกเลยแต่มาอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อ ตนรู้สึกว่าตนถูกละเมิดสิทธิ์และไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงมาร้องเรียนกับทนายรณรงค์ ซึ่งก่อนหน้านี้อดีตสามีก็เป็นฝ่ายมาร้องเรียนที่นี่และกล่าวหาตนกับครอบครัวมาแล้ว
ด้านนางชฎาภรณ์ ได้ต่อสายโทรคุยกับจ่าจ๊อด เพื่อขอให้ยุติในเรื่องนี้เกี่ยวกับการไปราวีอดีตภรรยา และอธิบายพูดคุยด้วยเหตุผลไม่ให้จ่าจ๊อด มาทำแบบนี้กับอดีตภรรยาและครอบครัว เรื่องส่วนตัวทางมูลนิธิไม่ยุ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องของเด็กที่ได้รับผลกระทบ หากจ่าจ๊อดยังไม่หยุดพฤติกรรมแบบนี้ ก็จะไปร้องเรียนกับทางสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมต้นสังกัดของจ่าจ๊อด ซึ่งอาจจะทำให้เขาไม่ได้รับบำเหน็จบำนาญ หากไปถึงขั้นนั้นและพบว่าเขาทำผิดกฎระเบียบของทาง ทหาร ซึ่งจ่าจ๊อดเองก็ตอบมาในปลายสายว่าตนก็มีหลักฐานที่อดีตภรรยาและครอบครัวทำร้ายจิตใจตนเอง ซึ่งนางชฎาภรณ์ก็กล่าวว่ามันเป็นอดีตและเป็นคนละเรื่องกัน มูลนิธิต้องการให้เห็นกับเด็กมากกว่าสิ่งอื่นใด ส่วนเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องของทั้งสองคนมูลนิธิไม่ยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว
ขณะที่ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า การกระทำของจ่าจ๊อด อาจเป็นความผิดตามมาตรา 420 เรื่องละเมิดสิทธิ์ ซึ่งเป็นคดีแพ่ง ส่วนตัวแล้วไม่อยากให้จ่าจ๊อดมาทำแบบนั้น ผู้เป็นแม่ต้องทำมาหากินเลี้ยงดูลูกชายคนเดียว และรับผิดชอบดูแลพ่อแม่และครอบครัว อยากให้ต่างคนต่างอยู่ตามที่หย่ากันไว้ และทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดีที่สุดเพื่ออนาคตของเด็กจะดีกว่า











