นนทบุรี จำใจขาย !คุณยายพยุงวัย 90 นำทองไปขายแล้ว วอนหน่วยงานรัฐมารับตัวไปอยู่บ้านพักคนชรา
จากกรณีผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก น.ส. พยุง ด้วงกรัด อายุ 90 ปี หลังคุณยายถูกหลานสาว(ลูกของน้องสาว) และหลานเขย หิ้วปีกไล่ออกจากบ้านอย่างไร้เยื่อใย ทำให้ยายพยุงต้องดั้งด้นกลับไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านเก่าที่สนิทกันเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วเพราะไม่มีที่ซุกหัวนอน โดยไม่คาดคิดว่าหลานสาวและหลานเขยจะทำร้ายจิตใจคุณยายได้ขนาดนี้
ยายพยุง เล่าว่า ในอดีตที่ผ่านมา เธอเป็นชาวนาที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ไม่ได้แต่งงานและมีครอบครัว มีพี่น้องร่วมท้องกันมา 9 คน ทุกคนล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้วเหลือเพียงแค่ ตนเพียงคนเดียว ตนได้อาศัยอยู่กับ นายเอ นางบี นามสมมุติ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านไทรม้า โดยตนได้เลี้ยงลูกสาว และลูกชายของนายเอกับนางบี (ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของตน) ตั้งแต่ยังเล็ก จนกระทั่ง เหลนสาวคนโตเรียนจบเป็นหมอ ส่วนเหลนชาย อยู่ระหว่างเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
ช่วงที่ตนเองยังสาวๆไม่มีครอบครัว ได้ยึดอาชีพทำนามาตลอด จนกระทั่งพ่อแม่พี่น้องของตนเองเสียชีวิตไปหมดแล้ว ตนจึงมาอยู่กับหลานสาวซึ่งเป็นลูกของน้องสาว โดยตนเองมีเงินเก็บอยู่ 3.5 ล้านบาท เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตนตั้งใจจะให้เหลนสาวกับเหลนชายคนละ 1 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 1,500,000 บาท ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ใช้จ่ายในยามสุดท้ายของบั้นปลายชีวิต
ยายพยุง ได้นำสมุดบัญชีมาให้ผู้สื่อข่าวดู พบว่า เหลนสาวมียอดเงินฝากรวมทั้งพันธบัตร เป็นจำนวนเงิน 2500,000 บาท ส่วนเหลนชายมีเงินฝากอยู่ในธนาคาร จำนวน 1 ล้านบาท จริงตามที่คุณยายเล่าให้ฟัง โดยคุณยายบอกว่า หลานสาวกับหลานเขยมาบอกกับตนเองว่า ถ้ามีเงินอยู่ในธนาคารเยอะไม่ดีธนาคารจะล้ม ให้ตนถอนเงินออกมาและแปะไว้ที่บัญชีเหลนชายเหลนสาว ตนเองรักเหลนทั้งสองคน และมีความตั้งใจจะให้เงินดังกล่าวอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสมุดบัญชีของตนซึ่งเป็นธนาคารกรุงไทย กับไม่มียอดเงิน 1.5 ล้านบาทที่ตนอยากจะเก็บไว้ ทำไมเงินทั้งหมดจึงไปอยู่ในบัญชีของเหลนสาวและเหลนชาย เมื่อตนเอ่ยปากทวงถาม เรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องที่ หลานสาวให้ตนฝากทรัพย์สินที่เป็นทองไว้ แต่ตนไม่ได้ฝากทำให้ทั้งสองคนอาจไม่พอใจหาเรื่องไล่ตนออกจากบ้านเมื่อวันอังคารที่ 28 ต.ค.68 ที่ผ่านมา ตนถูกหลานสาวและหลานเขยหิ้วปีกออกมาจากบ้านและสั่งว่าห้ามกลับเข้ามาที่บ้านหลังนี้อีกไม่เช่นนั้นจะแจ้งตำรวจให้มาจับ ตนต้องออกมาตัวเปล่าไม่รู้จะไปไหน
จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่า มีนางสาวสุ เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเก่า ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับหลานเขยและหลานสาวที่หมู่บ้านใหม่ภายในเขตพื้นที่เมืองนนทบุรี ไม่ไกลกันมากนัก ตนจึงเรียกรถแท็กซี่ให้มาส่ง โดยมีทรัพย์สินที่เหลือติดตัวมาคือ สร้อยคอทองคำ หนัก 3 บาท 1 เส้น 1 บาท 1 เส้นสร้อยข้อมือ ทองคำ หนัก 2 บาท 2 เส้น รวมน้ำหนัก 8 บาท เข็มขัดนาคหนัก 10 บาท และชุดสร้อยทองประดับพลอย สร้อยข้อมือประดับ พลอยแหวนเพชรประดับพลอยซึ่งเป็นชุดเซ็ดที่ใส่เข้าชุด นำออกมา ส่วนเสื้อผ้ารวมทั้งยาประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นยาความดันเบาหวาน และเงินสดอีก 100,000 บาท ที่อยู่ในบ้านหลานสาวกับหลานเขย ตนไม่ได้นำออกมาเลย
ความคืบหน้าล่าสุดของเรื่องนี้นั้น เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 3 พฤศจิกายน 68 ที่บ้านของป้าสุในหมู่บ้านคริสตัลโฮม ตำบลไทรม้า อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ยายพยุง ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเอง ต้องการขายทองรูปพรรณที่มีอยู่ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็น สร้อยคอทองคำ สร้อยข้อมือ รวมทั้งเข็มขัดนาคที่หนัก 10 บาท เพราะคิดว่าคงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเก็บไว้ เนื่องจากตนอายุมากแล้วคงไม่ได้ใส่หรอกเพราะตอนนี้ทองก็แพงด้วย จึงอยากจะขายเพื่อนำเงินมาเก็บไว้ใช้จ่ายในบั้นปลายของชีวิต จะได้ไม่เป็นภาระ สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร
ทางผู้สื่อข่าวจึงพร้อมด้วยป้านี คนดูแลยายสุ และยายพยุง รวมทั้ง หลานสาวของยายสุ เจ้าของบ้าน จึงช่วยกันประคองและพาคุณยายพยุงพร้อมด้วย ทรัพย์สินทองรูปพรรณ และ เข็มขัดนาคของคุณยายพยุง เดินทางไปยังร้านรับซื้อทองและหลอมทองชื่อ ” พรโสฬสมงคล 89 ” ที่บริเวณหัวถนนท่าน้ำปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยทางเจ้าของร้านคือคุณช้าง ซึ่งทราบข่าวเรื่องราวของคุณยายพยุงจากทางสื่อ ได้ทำการชั่งน้ำหนักทอง ตรวจสอบเปอร์เซ็นทอง รวมทั้งเข็มขัดนาค ใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยเข็มขัดนาคหนัก 10 บาท รวมกับทองหนัก 8 บาท ทั้งหมดขายได้เป็นเงิน 651,754 บาท ทางคุณยายพยุง จึงได้ตัดสินใจขายทรัพย์สินดังกล่าวให้กับทางร้านและรับเงิน เป็นที่เรียบร้อย และทางป้านีรวมทั้งหลานสาวป้าสุ จะนำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าธนาคารตามจุดประสงค์ของคุณยาย โดยมีผู้สื่อข่าวเป็นสักขีพยาน ซึ่งในวันนี้ คุณยายพยุงได้พูดจาขอร้องผู้สื่อข่าวตลอดเวลาว่าให้ช่วยประสานกับทางหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมารับตัวไปอยู่บ้านพักคนชราเพราะไม่อยากรบกวนป้าสุเพื่อนสนิทกัน เนื่องจากเขาก็ไม่ค่อยแข็งแรง ตนไม่อยากเป็นภาระหรือสร้างความลำบากใจให้กับเพื่อนบ้านรายนี้
ยายพยุง กล่าว











