รวบสาวบัญชีม้าหลอกตุ๋นเหยื่อโอนเงิน กว่า 34 ล้านบาท
หลังทำทีอ้างว่าเหยื่อเอี่ยวคดีฟอกเงิน
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.,พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ป., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว รอง ผบก.ป. ,พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป., พ.ต.ท.สิทธิเกียรติ ศรีจันทร์ , พ.ต.ท.วาทิต จิตรจันทึก, พ.ต.ท.อภิเดช อธิคมสัญญา, พ.ต.ท.ศรัณย์ ศรีพักตร์, พ.ต.ท.พิทยา ธนาวุฒิ รอง ผกก.5 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.จิรยุทธ์ ชัชรินทร์กุล สว.กก.5 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป.
ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.ภัทรจิราฯ อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ 430/2568 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน เปิดหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรจะรู้ว่า จะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และร่วมกันฟอกเงิน”
สถานที่จับกุม หน้าโรงพยาบาล ถนนเอเชีย 41 ม.5 ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 กลุ่มคนร้ายใช้โทรศัพท์และแอปพลิเคชันไลน์ ชื่อ สภ.เมืองสุรินทร์ ติดต่อมาที่ผู้เสียหายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร แจ้งว่ามีคนนำบัญชีที่มีชื่อผู้เสียหายไปทำธุรกรรม จากนั้นโอนสายต่อไป ปลายสายแจ้งว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ จะให้ผู้เสียหายแจ้งความผ่านทางระบบไลน์ ผู้เสียหายได้เพิ่มเพื่อนและแจ้งชื่อ นามสกุลกับคนร้ายไป
ต่อมาคนร้ายได้ส่งภาพถ่ายบุคคลชื่อ นายนพพลฯ และส่งหน้าสมุดบัญชีธนาคาร หน้าบัญชีปรากฏชื่อผู้เสียหาย และส่งภาพประกาศคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่องการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินหนี้สินและเอกสารประกอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จริง มีเนื้อความว่า ขอประกาศเผยบัญชีทรัพย์สินและเอกสารประกอบการตรวจสอบ ณ สำนักงาน ปปง. ประจำจังหวัดสุรินทร์ วันที่ 9-10 กรกฎาคม 2567 โดยยังอ้างว่าหากผู้เสียหายตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายนพพลฯ ผู้ต้องหาเกี่ยวกับคดีฟอกเงิน ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ หากเกี่ยวพันร่วมขบวนการกับนายนพพลฯ จะยึดทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นของกลางจนคดีถึงที่สุด
ท้ายหนังสือดังกล่าวลงชื่อ ผกก.สภ.เมืองสุรินทร์ คนร้ายย้ำอีกว่าคดีเป็นความลับของทางราชการ หากแจ้งเรื่องให้บุคคลอื่นทราบจะมีความผิด และให้ผู้เสียหายรายงานตัว รายงานสถานะทุก 1 ชม. ห้ามยักย้าย เคลื่อนไหวเงินในบัญชี เว้นแต่เจ้าพนักงานตำรวจจะสั่ง คนร้ายหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน อ้างว่าให้เจ้าหน้าที่ส่วนกลางตรวจสอบว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับนายนพพลฯ หรือไม่ คนร้ายได้ส่งหมายเลขบัญชีมาให้ผู้เสียหาย
ผู้เสียหายได้โอนเงินไปตามที่คนร้ายแจ้ง จำนวน 32 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 34,671,000 บาท ภายหลังผู้เสียหายได้เข้าไปตรวจสอบเฟซบุ๊กของ สภ.เมืองสุรินทร์ พบว่า ลายเซ็นของ ผกก.สภ.เมืองสุรินทร์ ไม่เหมือนกับหนังสือที่คนร้ายเคยส่งมา ได้โทรไปสอบถาม ผกก.สภ.เมืองสุรินทร์ จนทราบว่าตนถูกหลอก จึงได้ร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองร้อยเอ็ด ดำเนินคดีกับคนร้ายตามกฎหมาย
ก่อนทำการจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า น.ส.ภัทรจิราฯ ปรากฎตัวอยู่บริเวณหน้าโรงพยาบาล ถนนเอเชีย 41 ม.5 ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบบริเวณดังกล่าว กระทั่งพบตัวน.ส.ภัทรจิราฯ เป็นบุคคลตรงตามหมายจับ
จากนั้นจึงได้แสดงหมายจับให้ดูโดยอ่านให้ฟังและให้อ่านด้วยตนเองจนเป็นที่พอใจแล้ว รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และยังไม่เคยถูกจับกุมในคดีตามหมายจับนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแจ้งให้ น.ส.ภัทรจิราฯ ทราบว่าจะต้องถูกจับในความผิดตามหมายจับ พร้อมทั้งแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ทราบแล้วทุกประการ จากนั้น นำตัวมาจัดทำบันทึกการจับกุม ที่ กก.5 บก.ป. ก่อนนำตัวส่ง สภ.เมืองร้อยเอ็ด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ตลอดข้อกล่าวหา
“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน
ให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”











