ตำรวจภาค 1 สนองคําสั่งนายกฯที่ 341/2568 แถลงจับแก็งค์บัญชีม้าพร้อมเงินของกลางกว่า1.9 ล้านบาท….อีกคดีสืบภาค1จับบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 48,301ชิ้น มูลค่า 20 ล้านบาท
วันที่21 ต.ค. 68 เวลา15.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค1 เขตจตุจักร กทม. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง จตช./รอง ผอ.ศปอส.ตร.และ “คณะกรรมการอํานวยการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ตามคําสั่ง สํานักนายกรัฐมนตรี
ที่ 341/2568 พร้อมด้วยพล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล รอง ผบช.ภ.1 ,
พล.ต.ต.วรชาติแสนคํา ผบก.สส.ภ.1 ร่วมแถลงการจับกุมทลายแก๊งกดเงิน
บัญชีม้าสมุทรปราการยึดเงินสดได้คามือเกือบ 2 ล้านบาท
โดยกรณีนี้ได้มีผู้เสียหายเป็นหญิงรายหนึ่งได้รับสายโทรศัพท์จากมิจฉาชีพ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์แจ้งว่า
ผู้เสียหายมีพัสดุตกหล่น ต่อมามีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองผู้บริโภคแจ้งว่าต้องตรวจสอบเงินของผู้เสียหายเพื่อคุ้มครองเงิน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงทําตามขั้นตอนที่มิจฉาชีพแจ้ง สุดท้ายถูกหลอกให้โอนเงินออกไป จํานวน 400,000 บาท และได้ประสานเจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.สส.ภ.จ.สุพรรณบุรี เพื่อพาเข้าแจ้งความที่ สภ.พระประแดง
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตํารวจได้สืบสวนกรณีดังกล่าว โดย บก.สส.ภ.1 ได้รับแจ้งข้อมูลจาก War Room IAC
สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ว่าได้มีกลุ่มแก๊งคอกม้าทําหน้าที่เป็นจัดหาบัญชีม้ามาถอนเงินสดที่ได้จากการหลอกลวงผู้เสียหาย ซึ่งคาดว่าสร้างความเสียหายแล้วกว่า 4,000,700 บาท
โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.สส.3 บก.สส.ภ.1 ได้สืบสวนติดตามจนรู้ตัวกลุ่มคนร้ายและยานพาหนะที่ใช้ก่อเหตุ
ทั้งหมดว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน ที่ทําหน้าที่เป็นกลุ่มคนคุมคอกบัญชีม้าในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ
จนกระทั่งในวันที่20 ต.ค.68 เวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ตํารวจสืบสวนทราบว่า กลุ่มคนร้ายที่คุมคอกบัญชีม้าได้ออกมาเตรียมตัวเพื่อจะให้บัญชีม้าออกมาถอนเงินสด จึงได้สะกดรอยติดตามไปจนถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง สาขาพระประแดงและเฝ้าติดตามไว้จนกระทั่งมี น.ส.แสงดา พร้อมกับนายธนากรณ์ ลงมาจากรถยนต์ ยี่ห้อ mitsubishi รุ่น xpender ที่ใช้รับส่ง
บัญชีม้าไปถอนเงินตามสถานที่ต่างๆ ได้เดินไปถอนเงินสดที่ธนาคารแรก จํานวน 525,820 บาท และธนาคารที่สอง
จํานวน 1,398,580 บาท (ถูกหักค่าธรรมเนียมบัญชีต่างจังหวัด 1,420 บาท) รวมทั้ง 2 ธนาคารเป็นเงิน จํานวน
1,924,400 บาท
ต่อมา น.ส.แสงดาฯ ได้นําเอาเงินไปให้นายธนากรณ์ฯ ที่ยืนรออยู่บริเวณใกล้กับธนาคารฯ เพื่อจะนําเงินสดไปให้ นายกิตติพงศ์ฯ ที่จอดรถยนต์รออยู่ในบริเวณลานจอดรถของห้างฯ เพื่อรอนําไปส่งให้แก่คนรวมเงินไปส่ง
ให้ผู้สั่งการ
เจ้าหน้าที่ตํารวจได้แสดงตัวเข้าจับกุมตัว น.ส.แสงดาฯ และ นายธนากรณ์ฯ พร้อมตรวจยึดเงินสดของกลางรวม 1,924,400 บาท โดยในระหว่างจับกุมทั้ง 2 ราย นายกิตติพงศ์ฯ ได้เห็นเหตุการณ์ จึงขับรถยนต์หลบหนี ส่วนชายอีกคนที่ทําหน้าที่รอรวบรวมเงินไปส่งให้ผู้สั่งการ ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ Honda รุ่น Forza สีแดงไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไป เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้เร่งติดตามไปจนสามารถจับกุมตัวนายกิตติพงศ์ไว้ได้ใน
ซอยเทศบาลบางปู45 อ.บางปู จ.สมุทรปราการ ส่วนผู้รวบรวมเงินไปส่งให้ผู้สั่งการ เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตัวได้ที่
ซอยเคหะ 29 ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ ทราบชื่อ นายมนัสชัยฯ จึงได้เชิญตัวมาให้ถ้อยคํา
ในเรื่องดังกล่าว
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้จับกุมผู้ต้องหา จํานวน 3 คน ได้แก่
1. น.ส.แสงดา อายุ 30 ปี (บัญชีม้า) พร้อมตรวจยึดของกลาง เป็นเงินสด จํานวน 1,924,400 บาท, สมุดบัญชีเงิน
ฝาก และโทรศัพท์มือถือ
2. นายธนากรณ์ อายุ 26 ปี (คนคุมบัญชีม้า) พร้อมตรวจยึดของกลางเป็นโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสะพายที่ใช้ใส่
เงินสดที่ถอน
3. นายกิตติพงศ์ อายุ 31 ปี (คนคุมบัญชีม้า) พร้อมตรวจยึดของกลางเป็นรถยนต์mitsubishi รุ่น xpender
และโทรศัพท์มือถือโดยดําเนินคดีฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่ง
ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ,เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนเอง โดยมีพฤติการณ์ที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนําไปใช้ในการ
กระทําความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ม.9) , จัดหา โฆษณา หรือไขข่าว เพื่อให้มีการซื้อขาย บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนําไปใช้กระทําความผิดทางอาญา(ม.10)”
โดยพล.ต.ท.ไตรรงค์ได้กล่าวว่า”วันนี้เป็นการแถลงผลการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นการปฏิบัติตามนโยบายนายกรัฐมนตรีที่ได้ยกระดับการปราบปรามการก่ออาชญากรรมออนไลน์โดยเฉพาะพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นวาระแห่งชาติ การประชุมเมื่อวานนี้ได้ยกระดับศูนย์วอรูมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้หน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมปฏิบัติด้วย การปฏิบัติการในครั้งนี้ได้ตรวจสอบพบธุรกรรมต้องสงสัยเชื่อว่าเป็นการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงผู้เสียหาย จึงส่งต่อข้อมูลให้กับตำรวจภูธรภาค 1 ได้วางแผนจับกุมคนร้ายและตรวจยึดเงินสดที่ได้จากการหลอกลวงผู้เสียหายจำนวนหนึ่ง ที่ผ่านมาตำรวจได้จับกุมบัญชีม้าไปแล้วกว่า 200 ราย โดยก่อนที่จะมีการตั้งวอรูมได้ยึดเงินคืนผู้เสียหายคิดเป็นประมาณ 20% แต่หลังจากตั้งวอรูมตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาสามารถยึดเงินคืนผู้เสียหายได้แล้วกว่า 40%”
ทางด้านพล.ต.ท.วัฒนา ผบช.ภ1กล่าวว่า”ได้รับแจ้งจากวอรูมว่ามีบัญชี 4 บัญชี มีการเบิกถอนเงินผิดปกติ จึงให้ตำรวจฝ่ายสืบสวนไปเฝ้าจุดจนกระทั่งพบผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ที่มีการแบ่งงานกันทำทั้งบัญชีม้าและผู้ควบคุมบัญชีม้า เมื่อเข้าไปกดเงินที่ธนาคาร ได้เงินมาจำนวน 500,000 บาท ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด ขณะจับกุมไปแล้ว ยังมีผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาอีก 1,400,000 บาท จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้เสียหายรายหนึ่งถูกหลอกในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีจึง ได้ประสานไปยังตำรวจพื้นที่สุพรรณบุรีให้มาแจ้งความดำเนินคดี และได้ประสานให้มารับมอบเงินคืนจำนวน 400,000 บาทในวันนี้ ส่วนยอดเงินที่เหลืออีกกว่าหนึ่งล้านบาทกำลังสืบสวนหาที่มาและสืบสวนหาผู้เสียหายเพื่อนำเงินคืนแก่ผู้เสียหายต่อไป”
อีกคนคดีกองสอบสวนสืบสวนตำรวจภูธรภาค1จับกุมผู้ต้องหาขนบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 2ราย 1.นายมัรวาน อายุ 23 ปี อยู่ที่ ต.ลำไพล อ.เทพา จ.สงขลา ในข้อหา “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของมิได้ เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากร โดยถูกต้อง หรือเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกอากร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560″ 2.นายอิลรอเฮง อายุ 28 ปี อยู่ที่ ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ในข้อหา “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของมิได้ เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากร โดยถูกต้อง หรือเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกอากร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560″ ของกลางที่ได้จากการตรวจยึด 1.บุหรี่ไฟฟ้า รวมจำนวนทั้งสิ้น 48,301ชิ้น ๒. รถยนต์กระบะตู้ทึบ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น รีโว้ สีขาว จำนวน 1 คัน 3.รถยนต์กระบะตู้ทึบ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น รีโว้ สีเทา จำนวน 1 คัน 4.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Nokia จำนวน 1 เครื่อง 5.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Samsung จำนวน 1 เครื่อง 6.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Oppo จำนวน 1 เครื่อง 7.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Samsung จำนวน 3 เครื่อง สถานที่จับกุม ริมถนนสาธารณะ หมู่ 5 ต.บางน้ำจืด อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร
ทั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 28ก.ย.68 เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุม นายจีรพิวัฒน์ฯ พร้อมด้วยของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 4,476 ชิ้น รวมมูลค่าประมาณ 3,088,440บาท ในความผิดฐาน “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใด ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้ามหรือที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง หรือเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกอากร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560” นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี ดำเนิดคดีตามกฎหมายต่อไป ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลพบกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงบุหรี่ไฟฟ้า จากพื้นที่ภาคใต้ ขึ้นมากระจายในพื้นที่ภาคกลาง เพิ่มเติม โดยพบรถยนต์กระบะตู้ทึบสีเทา และรถยนต์กระบะตู้ทึบสีขาว ลักลอบ เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้คอยเฝ้าสังเกตการณ์และทำการติดตามจนตรวจพบขณะกลุ่มผู้ต้องหา ลำเลียง บุหรี่ไฟฟ้าของกลางจากพื้นที่ภาคใต้เข้าสู่พื้นที่ภาคกลาง โดยได้เข้าแสดงตัวขอทำการตรวจค้น และจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 1.นายมัรวาน ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะสีขาว พร้อมด้วยของกลางบุหรี่ไฟฟ้า ยี่ห้อ M ZERO จำนวน 19,541 ชิ้น และผู้ต้องหาที่ 2. นายอิลรอเฮง ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะตู้ทึบสีเทา พร้อมด้วย ของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 24,640ขึ้น รวมของกลางทั้งหมด 48,301ชิ้น นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยของกลางทั้งหมดถูกลำเลียงมาจากพื้นที่ภาคใต้ และ นำมาจำหน่ายในพื้นที่ภาคกลาง มีของกลางมูลค่ารวมประมาณ 20,000,000บาท (ยี่สิบล้านบาท)หลังจากนั้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป