กองปราบเปิดปฏิบัติการ “ตัดแขนขาแก๊งคอลเซ็นเตอร์”
ตรวจค้น 15 จุด รวบ 15 ผู้ต้องหา
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ป.,
พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป, พ.ต.ท.ภาณุมาศ แสงส่ง รอง ผกก.3 บก.ป, พ.ต.ท.พงษ์พิทักษ์ เหล็กชูชาติ
รอง ผกก.3 บก.ป, พ.ต.ท.อภิมัณฑ์ บานชื่น รอง ผกก.3 บก.ป., พ.ต.ท.ณัฐดนัย สีแข่ไตร รอง ผกก.3 บก.ป., และพ.ต.ท.ศิษฏ์ พูลวงศ์ รอง ผกก.3 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.พัฒษพงศ์ เสณีแสนเสนา สว.กก.3 บก.ป. และข้าราชการตำรวจ
กก.3 บก.ป.
ร่วมกันจับกุม รายชื่อผู้ต้องหา จำนวน 15 ราย
คดีที่ 1 สภ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
1.นายราชภูมิฯ อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอุบลราชธานี เลขที่ จ.750/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก
บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงิน อิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะ นำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดอาญาอื่นใด, สนับสนุนการกระทำ ความผิดฐาน โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่า ทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และ สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นคนอื่น
2.น.ส.อารดาฯ อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอุบลราชธานี เลขที่ จ.749/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นคนอื่น และ
โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม
ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
3.นายชวานนท์ฯ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอุบลราชธานี เลขที่ จ.747/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นคนอื่น และ
โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม
ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
4.น.ส.สุพิชญาฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอุบลราชธานี เลขที่ จ.748/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นคนอื่น และ
โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม
ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
คดีที่ 2 สน.มักกะสัน
1.นายอัสนัยฯ อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 5835/2568 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ, ใช้เอกสารราชการปลอม, ฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันฟอกเงิน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มี การกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
2.นางธีระฯ อายุ 57 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 5837/2568 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ, ใช้เอกสารราชการปลอม, ฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันฟอกเงิน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มี การกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
3.นายไพสนธิ์ฯ อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 5838/2568 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ, ใช้เอกสารราชการปลอม, ฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันฟอกเงิน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มี การกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
4.น.ส.จิรวรรณฯ อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 5844/2568 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ, ใช้เอกสารราชการปลอม, ฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันฟอกเงิน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มี การกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
5.นายวสันต์ฯ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 5843/2568 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ, ใช้เอกสารราชการปลอม, ฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันฟอกเงิน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มี การกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
คดีที่ 3 สภ.เมืองขอนแก่น
1.นายธนวัฒน์ฯ อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น เลขที่ จ.981/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันโดยทุจริตหรือ โดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
2.นายชรินทร์ฯ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น เลขที่ จ.982/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันโดยทุจริตหรือ โดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด
3.น.ส.ทิวาฯ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น เลขที่ จ.979/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานร่วมกันโดยทุจริตหรือ โดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
4.นายสุพัฒฯ อายุ 50 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น เลขที่ จ.978/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานร่วมกันโดยทุจริตหรือ โดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
5.นายทิวาฯ อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น เลขที่ จ.976/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานร่วมกันโดยทุจริตหรือ โดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
6.นายณัฐพรฯ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น เลขที่ จ.977/2568 ลงวันที่
3 ตุลาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานร่วมกันโดยทุจริตหรือ โดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
สถานที่จับกุม ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น อุบลราชธานี บึงกาฬ และจังหวัดอื่น ๆ
พฤติการณ์ ในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” และมิจฉาชีพออนไลน์ ยังคงอาละวาดสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่มีความรู้ด้านการเงินหรือเทคโนโลยี กลุ่มคนร้ายพัฒนากลยุทธ์การหลอกลวงอย่างแยบยล ทั้งการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ การหลอกลงทุนผ่านเพจชื่อดัง ไปจนถึงการสร้างเว็บไซต์และบัญชีปลอมให้ดูน่าเชื่อถือ จนเหยื่อหลงเชื่อและสูญเงินนับล้านบาท
ในพริบตา
ปัจจุบัน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” และมิจฉาชีพออนไลน์ ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย ประชาชนจำนวนมากถูกหลอกให้โอนเงินผ่านโทรศัพท์ แอปพลิเคชัน และสื่อสังคมออนไลน์ โดยกลุ่มคนร้ายใช้เทคนิค
ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทั้งการปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สถาบันการเงิน หรือหน่วยงานที่ประชาชนไว้วางใจ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและโน้มน้าวให้โอนเงินตามคำสั่ง
กก.3 บก.ป. ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในหลายพื้นที่ที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งสืบสวนติดตามเครือข่ายเหล่านี้จากผู้เสียหาย จำนวน 3 คดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการหลอกลวงในยุคดิจิทัลได้อย่างชัดเจน ดังนี้
1.ใช้เทคนิค “สวมรอยระบบ” ให้เหยื่อเปลี่ยนภาษาแอปธนาคาร เพื่อยึดบัญชี
2.โทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่บริษัทมือถือ (คอลเซ็นเตอร์)
3.หลอกลงทุนผ่านเพจเว็บไซต์ปลอมที่อ้างเป็นบริษัทชื่อดัง
คดีที่ 1 : แอบอ้างเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง เหยื่อสูญเกือบ 5 แสนบาท ผู้เสียหายถูกโทรศัพท์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง ให้ทำตามขั้นตอนทางไลน์และเปลี่ยนภาษาในแอปธนาคาร สุดท้ายเงินในบัญชีถูกโอนออก จำนวน 2 ครั้ง รวม 497,840 บาท ไปยังบัญชีชื่อ “ราชภูมิฯ” และ “อารดาฯ”
ต่อมาถูกผ่องถ่ายไปยังบัญชี “ชโรธรฯ” และบัญชี Wallet ของ น.ส.วันเพ็ญฯ สืบสวนพบเป็นกลุ่มเดียวกับขบวนการฟอกเงินคอลเซ็นเตอร์จากประเทศเพื่อนบ้าน เจ้าหน้าที่สืบสวนพบเส้นทางการเงินหลายชั้น กลุ่มผู้ต้องหาจัดแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน ตั้งแต่บัญชีรับโอนจากผู้เสียหาย การผ่องถ่ายเงินต่อ จนถึงการถอนเงินสด
มีผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องจำนวน 7 ราย และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์กล่าวโทษในพื้นที่ สภ.วารินชำราบ
จ.อุบลราชธานี
คดีที่ 2 : คอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ AIS ผู้เสียหายถูกคนร้ายโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการ AIS และต่อสายให้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยหลอกว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและต้องโอนเงินมาเพื่อตรวจสอบ ผู้เสียหายจึงได้โอนเงินไปยังบัญชีบุคคลชื่อ “นายภุมรินทร์ฯ” จำนวน 604,008 บาท ก่อนถูกกระจายต่อเข้าสู่ระบบ e-Money กลุ่มบุคคลที่มี
ความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในครั้งนี้ จำนวน 11 ราย และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์กล่าวโทษในพื้นที่
สน.มักกะสัน
คดีที่ 3 : หลอกลงทุนหุ้น Café Amazon สูญกว่า 7 แสนบาท ผู้เสียหายถูกเพจปลอม ใช้ชื่อ “coffee amazon thailand” ชวนลงทุนในหุ้นบริษัท ปตท. (OR) ให้ทำการแอดไลน์ บุคคลที่ใช้ชื่อบัญชีว่า “PTT& Amazon official” คนร้ายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ทำการอธิบายรูปแบบการลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว สามารถสร้างผลกำไรได้ 12 – 30% ของเงินทุนในระยะสั้น จากนั้นได้กรอก ลิงก์เว็บไซต์ปลอม “the-trader5.cc” ให้โอนเงินลงทุน ทั้งหมด 6 ครั้ง ผู้เสียหายโอนไปทั้งหมด 703,400 บาท หลายบัญชี เช่น “ณัฐพรฯ”, “สุพัฒฯ”, “เกตุมณีฯ” เป็นต้น
การสืบสวนพบว่า
เงินถูกโอนไปยังบัญชีของ “นายธนวัฒน์ฯ” แล้วรีบเบิกเงินสดตามธนาคารในพื้นที่สายไหม–สุขาภิบาล 5
รวมการถอนเงินสดกว่า 8.9 ล้านบาท จากหลายคดีรวมกัน โดยมีผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีนี้จำนวน 8 ราย และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์กล่าวโทษในพื้นที่ สภ.เมืองขอนแก่น
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. จึงได้เร่งสืบสวนขยายผล