“ศุภชัย” แจง “เขากระโดง-ฮั้ว สว.” ต้องทำตามหลักนิติธรรม ย้อน “ดีเอสไอ” จุดเริ่มต้นถูกต้องหรือไม่
วันนี้ (2 ต.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายศุภชัย ใจสมุทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายการเมือง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคดีเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ และคดีฮั้ว สว. ว่า สำหรับกรณี “เขากระโดง” สถานะตอนนี้เป็นเรื่องของ 3 ฝ่าย คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) , กรมที่ดิน และชาวบ้านเกือบ 1,000 ราย ซึ่งเรื่องอยู่ที่ศาลปกครอง โดยการยื่นฟ้องครั้งแรก ศาลก็ได้มีคำวินิจฉัยว่าให้ กรมที่ดิน ไปดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดิน ตามมาตรา 61 พิจารณาว่า การออกโฉนดที่ดินมีการคลาดเคลื่อนหรือผิดกฎหมายหรือไม่ และผลจากการพิจารณาของคณะกรรมการ ตามมาตรา 61 ที่มีการตั้งขึ้นมาโดยใช้ระยะเวลาถึง 8 เดือน ก็ได้ข้อสรุปว่า การออกโฉนดที่ดินที่มีผู้เป็นเจ้าของ 995 รายนั้น ไม่ได้คลาดเคลื่อน และผิดกฎหมายคณะกรรมการจึงมีมติว่า ไม่เพิกถอนโฉนดที่ดิน เมื่อตรงนั้นไม่เพิกถอนอธิบดีกรมที่ดินในขณะนั้นก็เห็นชอบตามคณะกรรมการ
นายศุภชัย กล่าวต่อว่า วันนี้ รฟท. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ก็ดำเนินการฟ้องคดีกับเจ้าของที่ดิน 995 ราย ตอนนี้เริ่มฟ้องไป 2 ราย ก็เป็นตามกระบวนการที่ถูกต้อง ดังนั้น หากจะอ้างเอาคดีที่ตนเองชนะแล้วไปบังคับใช้กับคนอื่น ตามคำพิพากษาคดีเเพ่งตาม ประมวลกฎหมายพิจารณาความเเพ่ง ไม่มีผลผูกพัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระทรวงยุติธรรม แต่เกี่ยวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เข้าไปดูว่าการยึดครองของประชาชนบริเวณนั้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญาถึงขนาดที่ต้องนำไปเป็นคดีพิเศษ หรือมีการพูดถึงเรื่องการฟอกเงินหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องเป็นเรื่องที่ทางดีเอสไอต้องพิจารณาอย่างที่ท่านรัฐมนตรีได้มีการชี้แจงไปแล้ว
นอกจากนี้ นายศุภชัย กล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือ ต้องยึดหลักนิติธรรม การบริหารของหน่วยงานก็ต้องยึดหลักธรรมาภิบาล แต่ทุกกระบวนการต้องดำเนินการไปอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ฉะนั้น วันนี้ถ้าหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม หรือดีเอสไอ ดำเนินการถูกต้องตามหลักนิติธรรม บังคับใช้กฎหมายโดยเป็นธรรมแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะเดินหน้าต่อ แต่หากปรากฏว่าไม่ใช่หลักนิติธรรม ไม่ได้ดำเนินการไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ต้องพิจารณาว่าต้องมีการย้อนกลับไปจุดเดิมหรือไม่
นายศุภชัย ยังกล่าวถึงคดีฮั้ว สว. ว่า เป็นกระบวนการที่ดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ซึ่งตรงนี้อาจจะเกี่ยวข้องตอนเริ่มต้น คือ มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ร่วมเป็นคณะอนุกรรมการอยู่ด้วย 3 คน แต่ตอนนี้คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ได้พิจารณาเสร็จแล้ว ได้มีการส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง คณะที่ 36 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งขึ้นมาเพื่อพิจารณา ซึ่งข่าวที่ออกไปกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนนั้น จะตรงหรือไม่ตรงอย่างไร ไม่มีใครรู้ เพราะความจริงแล้วเรื่องนี้สำนวนนั้นเป็นความลับ และเนื้อหาจริงเป็นอย่างไร
“ทั้งหมดทั้งปวงต้องอยู่ในหลักนิติธรรม หรือหลักธรรมาภิบาลเพราะวันนี้หน่วยราชการที่เข้าไปเกี่ยวข้องของกระทรวงยุติธรรม ผมตอบได้ว่า ถ้าอะไรก็ตามที่มันไม่ใช่หลักตรงนี้ คำถามคือก็ต้องย้อนกลับมายังจุดเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่” นายศุภชัย กล่าว
เมื่อถามว่ามีความคิดเห็นอย่างไร เมื่อ กกต. ได้มีการทำสรุปสำนวนเตรียมส่งฟ้อง 138 ราย โดยคนของพรรคภูมิใจไทย รวมอยู่ในจำนวนนี้ด้วย นายศุภชัย กล่าวว่า ตนเองไม่สามารถตอบแทน กกต. เพราะท่านเป็นองค์กรอิสระ ขอให้ไปถาม กกต. เอง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากถามว่าดีเอสไอเข้าไปร่วมเพื่อที่จะไปสอบสวน หรือกระบวนการขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมายก็มีสิทธิ์ได้เดินต่อได้
เมื่อถามต่อว่า กำลังมองว่าสำนวนคดีสืบสวนเรื่องเขากระโดง ดีเอสไอได้เริ่มต้นทำอย่างถูกต้องใช่หรือไม่ และถ้าหากมีการดำเนินการอย่างถูกต้องมาตั้งแต่ต้น กระทรวงยุติธรรม จะเข้าไปสนับสนุนสำนวนนี้ใช่หรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า แน่นอนครับ เพราะชาวบ้านครอบครองมาตั้งแต่ปี 2491 แล้ววันดีคืนดีมาบอกว่า มีการฟอกเงิน ถ้าดีเอสไอ สอบแล้วเห็นว่า มีการฟอกเงินจริงก็อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ ไม่มีใครแทรกแซงได้ แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วมีการเสนอเข้าไปให้คณะกรรม การคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณา ก็ต้องดูว่า เป็นงานของดีเอสไอ หรือไม่
ส่วนจะดูย้อนแย้งหรือไม่นั้น เพราะดีเอสไอก็ยืนยันมาตลอด นายศุภชัย กล่าวว่า “ผมก็ตั้งคำถามว่าที่ยืนยัน เพราะเห็นว่าหน่วยงานมีหน้าที่จริงหรือไม่ เรื่องทำการรับทำคดี ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม แต่เป็นเรื่องของกฎหมาย คดีทั้งหลายเราจะไม่เข้าไปแทรกแซง แต่ถ้ามีเรื่องของการแทรกแซงอำนาจทางการเมือง เพื่อให้ฝ่ายประจำต้องไปบิดเบือนหน้าที่อำนาจของตัวเอง เพื่อสนองอำนาจความต้องการของฝ่ายการเมือง ไม่ว่าที่ไหนก็ถามรัฐบาลนี้ไม่เอาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ขอให้สบายใจได้ แต่ทั้งหมดข้าราชการไม่สามารถทำงานตามอำเภอใจ โดยนอกเหนือจากหน้าที่อำนาจตามกฎหมาย ข้าราชการจะไม่สามารถทำ เพื่อสนองฝ่ายการเมืองได้”
นายศุภชัย กล่าวย้ำว่า หากถามว่าคดีอดีต รมว.ยุติธรรม คนที่แล้ว พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะมีมูล มีเรื่องราวก็โดนเรื่องเข้าไปแทรกแซงการทำงานของดีเอสไอ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็เห็นว่ามันมีอยู่จริง
////