รวบ รปภ.บัญชีม้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเป็นม่ายสาว
ลวงลงทุนทอง เหยื่อสูญเงิน 6 ล้านบาท พบหมายจับพ่วงอีก 2 คดี
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พ.ต.อ.สุเทพ โตอิ้ม
รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ, พ.ต.ท.อรรถวิทย์ สุขทัศน์, พ.ต.ท.เอนก บุญตา, พ.ต.ท.กิตติพงษ์ ศิลาพันธุ์, พ.ต.ท.ชนะ ขำทอง รอง ผกก.4 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย ว่าที่ พ.ต.ท.อัคนี ณ บางช้าง สว.กก.4 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ
กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม
ร่วมกันจับกุม นายสุพจน์ฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาธนบุรี ที่ 561/2567
ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดอาญาอื่นใดและเป็นผู้สนับสนุนร่วมกันฉ้อโกงแสดงตนเป็นคนอื่นและโดยทุจริตหรือ หลอกลวง นำเข้าระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันมิใช่การกระทำความผิดต่อประชาชน”
สถานที่จับกุม บริเวณทางเข้าหมู่บ้านในพื้นที่ ซ.พหลโยธิน 73 แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
สืบเนื่องจากก่อนเกิดเหตุ ผู้ต้องหาได้ปลอมตัวเป็นผู้หญิงหน้าตาดี โปรไฟล์ดี ได้ส่งคำขอเป็นเพื่อนกับผู้เสียหายในแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก ก่อนที่ผู้เสียหายจะตกลงรับคำขอเป็นเพื่อน และเริ่มมีการสนทนากัน โดยผู้ต้องหาได้เล่าเรื่องของตนเองว่า ตนเองมีสามี และสามีได้เสียชีวิตลง และปัจจุบันยังไม่มีสามีใหม่
ซึ่งหลังจากสามีเสียชีวิตผู้ต้องหาได้หาเงิน
โดยวิธีลงทุนในทองคำ ก่อนจะพูดข้อดี และผลตอบแทนของการลงทุนให้ผู้เสียหายฟัง จนผู้เสียหายหลงเชื่อ หลังจากนั้นต่อมาเมื่อผู้เสียหายหลงเริ่มหลงเชื่อว่าการลงทุนในทองคำดังกล่าว สามารถที่จะให้ผลประโยชน์จริง จึงได้ลองเริ่มลงทุนกับผู้ต้องหา
โดยในครั้งแรก
ผู้เสียหายลงทุน 50,000 บาท ได้ผลกำไรมาประมาณ 10% หรือ 5,000 บาท ซึ่งเมื่อผู้เสียหายเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวได้เงินจริง จึงได้ลงทุนเพิ่มอีก 3,000,000 บาท ซึ่งระหว่างพูดคุยกัน ผู้ต้องหาได้อ้างว่า ผู้ต้องหา
มีน้าทำงานอยู่ในวัง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และแจ้งผู้เสียหายว่าหากผู้เสียหายอยากจะยกระดับตนเอง
เป็นผู้ลงทุนระดับ VIP ผู้เสียหายต้องเพิ่มเงินลงทุนอีก 3,000,000 บาท
ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปเพิ่มอีก 3,000,000 บาท ซึ่งหลังจากโอนเงินไปแล้ว ปรากฏว่าผู้เสียหายต้องการถอนเงินลงทุนออกก่อน
แต่ไม่สามารถถอนเงินออกได้ จึงเชื่อว่าถูกหลอก จึงเดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สน.บางขุนเทียน
เพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้ว พบว่าผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้นายสุพจน์ฯ ผู้ต้องหา จึงได้ขอศาลออกหมายจับนายสุพจน์
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. ได้สืบทราบว่า นายสุพจน์ฯ ผู้ต้องหาทำงานอยู่บริเวณฯ ทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร จึงได้นำกำลังเข้าจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหามีหมายจับในคดีที่มีลักษณะเดียวกัน อีก 2 คดี คือ
1.ศาลจังหวัดจันทบุรี ที่ 231/2567 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ,หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง”
2.ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ จ330/2568 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชน, ยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง”
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การว่า ไม่เคยขายบัญชีธนาคารให้กับผู้ใด แต่ได้ทำสมุดบัญชีธนาคารและบัตรประชาชนหาย
“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน
ให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด