ปิดฉากคดีโกงเงินร้อยล้าน จับกุม 2 ผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับ หลังร่วมขบวนการปลอมเอกสาร-หลอกแบงก์ สูญเงินกว่า 150 ล้าน
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น
รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป.,
พ.ต.ท.สมเดช สาระบรรณ์, พ.ต.ท.อภิชน ขันกา, พ.ต.ท.พชรเดช บุญฤทธิ์, พ.ต.ท.กฤษฎา พลายละหาร
และ พ.ต.ท.รัฐวิรุฬห์ จันทสุบรรณ รอง ผกก.1 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ต.มณเฑียร ธงเทียน สว.กก.1 บก.ป.,
ร.ต.อ.จักรพันธ์ ใบพิมาย รอง สว.กก.1 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป.
ร่วมกันจับกุม
1. น.ส.ชุติมณฑน์ฯ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2096/2568
ลงวันที่ 26 มีนาคม 2568
2. น.ส.อมรรัตน์ฯ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2097/2568
ลงวันที่ 26 มีนาคม 2568
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตน เป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร, ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน”
สถานที่จับกุม บ้านพักในพื้นที่ ซอย 6/14 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ระหว่างเดือนเมษายน–กันยายน 2561 ซึ่งบริษัทกลุ่มผู้ต้องหา
ใช้บัญชีเงินฝากบุคคลและบริษัทอื่นมาเป็นหลักประกันกู้เงินแบบเบิกเกินบัญชีจากธนาคารเอกชน
จำนวน 2 แห่ง รวม 4 ครั้ง เป็นมูลค่า 155 ล้านบาท พร้อมใช้เอกสารค้ำประกันที่มีการปลอมลายมือชื่อกรรมการบริษัทอื่นประกอบการค้ำประกันขอสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชี
หลังได้รับอนุมัติให้เบิกเงินเกินบัญชีได้ กลุ่มผู้ต้องหาได้ทยอยเบิกถอนและโอนเงินเข้าบัญชีเครือข่ายผู้กระทำผิด ทั้งสิ้น 14 ราย
ซึ่งมีการแบ่งผลประโยชน์ผ่านการโอนเงินหลายทอด รวมถึงฝากเข้าบัญชีของ
น.ส.ชุติมณฑน์ และ น.ส.อมรรัตน์ ก่อนเปลี่ยนสภาพเป็นเงินสดหรือโอนต่อให้บุคคลอื่นในขบวนการ
เพื่อปกปิดแหล่งที่มาของเงิน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกลุ่มนี้แล้วส่วนหนึ่ง เหลือ น.ส.ชุติมณฑน์ และ น.ส.อมรรัตน์ ที่ยังคงหลบหนีหมายจับของศาลอยู่ โดยตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่า หลังจากที่ธนาคารได้อนุมัติวงเงินเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว
วันที่ 13 มิถุนายน 2561 น.ส.สิริภาส์ กรรมการบริษัทดังกล่าว หนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหา ได้สั่งจ่ายเช็ค จำนวน 9,110,000 บาท
โดยเช็คฉบับดังกล่าวถูกนำฝากเข้าบัญชี น.ส.ชุติมณฑน์ หลังจากนั้น น.ส.ชุติมณฑน์ ได้โอนเงินจำนวน 4,000,000 บาท ไปยังบัญชีธนาคารของ นายภูริพัฒน์ฯ หนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหา และระหว่างวันที่ 14 – 19 มิถุนายน 2561
น.ส.ชุติมณฑน์ ได้ทำรายการถอนเงินสดจากบัญชีธนาคารของตนหลายครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 5,110,000 บาท ต่อมา วันที่ 20 มิถุนายน 2561 น.ส.สิริภาส์ ได้ทำรายการโอนเงิน จำนวน 900,000 บาท จากบัญชีธนาคารของบริษัทดังกล่าว ไปยังบัญชีธนาคารของ น.ส.อมรรัตน์
ต่อมา น.ส.อมรรัตน์ ได้ถอนเงิน จำนวน 700,000 บาท จากบัญชีของตน แล้วนำฝากเข้าบัญชีธนาคารของ
นายภูริพัฒน์ฯ หนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหา
วันที่ 29 มิถุนายน 2561 น.ส.สิริภาส์ หนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหา ได้สั่งจ่ายเช็ค จำนวน 7,080,000 บาท
โดยเช็คฉบับดังกล่าวถูกนำฝากเข้าบัญชี น.ส.ชุติมณฑน์ หลังจากนั้น นางสาวชุติมณฑน์ ได้ทำรายการโอนเงิน จำนวน 2,800,000 บาท จากบัญชีธนาคารของตนไปยังบัญชีธนาคารของ นายภูริพัฒน์ หนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหา และในระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2561 นางสาวชุติมณฑน์ ได้ถอนเงินจากบัญชีของตนหลายครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 4,280,000 บาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชป.15 กก.1 บก.ป. สามารถติดตามจับกุม น.ส.ชุติมณฑน์ฯ และ น.ส.อมรรัตน์ฯ
ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีฉ้อโกงและฟอกเงินรายใหญ่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับขบวนการปลอมเอกสารและหลอกลวงสถาบันการเงิน จนธนาคารหลายแห่งเสียหายรวมมูลค่ารวมกว่า 150 ล้านบาท การติดตามคดีนี้ใช้เวลานานกว่า 7 ปี
จนในที่สุดเจ้าหน้าที่สามารถสืบสวนเข้าทำการปิดล้อมจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองได้ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา จึงได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งเป็นการปิดฉากหนึ่งในคดีทุจริตทางการเงินที่ซับซ้อนและสร้างความเสียหายสูงที่สุดคดีหนึ่งของประเทศ
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา











