นนทบุรี/หนุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังร้องมูลนิธิ แฉขบวนการจัดหาบัญชีม้า มีภรรยาของนายตำรวจเป็นตัวบงการ สอนวิธีหนีตำรวจ แอบอ้างเบื้องสูง – แม่ทัพภาค 2 หากใครจะถอนตัว ต้องจ่ายเงิน 200,000 บาท ซ้ำขู่ฆ่าครอบครัว
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 10 ก.ค.2568 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นายเจษฏา สงวนนามสกุล อายุ 22 ปี อินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดังมีคนติดตามกว่า 4 แสนคน เดินทางนำเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนกับนายรณณรงค์ แก้วเพร็ช ประธานมูลนิธิ ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน นางชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์ ว่าได้ถูกขบวนการบัญชีม้าหลอกให้หาคนมาเปิดบัญชีทำธุรกิจเพื่อเลี่ยงภาษีแล้วจะให้ค่าตอบแทนสูง จนหลงเชื่อสุดท้ายพบพิรุธว่าขบวนการดังกล่าวน่าจะเอาบัญชีที่เปิดแล้วไปทำเรื่องผิดกฏหมาย จึงตัดสินใจไปปิดบัญชีทั้งหมดจนถูกข่มขู่ ก่อนเดินทางมาร้องเรียนที่มูลนิธิเกรงจะไม่ปลอดภัยเพราะคนที่ติดต่อตนเป็นเมียนายตำรวจระดับสารวัตร และยังอ้างว่ารู้จักกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคน อาทิแม่ทัพภาคที่ 2
นายเจษฎา กล่าว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ตนไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี จู่ ๆ ก็มีหญิงอายุประมาณ 38 ปี มาแนะนำตัวว่า ชื่อคุณนายอ้อน เป็นภรรยาของตำรวจระดับสารวัตร เป็นแฟนคลับของตน มาขอถ่ายรูป ขอแลกคอนแทค ก็มีการติดต่อพูดคุยกันได้สักพัก
หลังจากนั้น คุณนายอ้อน ก็ได้ชักชวนตนไปร่วมกินข้าวกับสมาคมแม่บ้านตำรวจจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งก็มีภรรยาตำรวจหลาย ๆ คน ที่ทำอาชีพประกัน คุณนายอ้อน ก็ได้ชักชวนตนไปสอบเป็นตัวแทนขายประกันที่จังหวัดขอนแก่น คุณนายอ้อนสอบผ่าน แต่ตนสอบไม่ผ่าน
หลังจากนั้น คุณนายอ้อน ก็ได้โทรศัพท์มาชักชวนให้ตนเปิดบัญชีให้และให้ช่วยหาคนมาเปิดบัญชีอ้างว่าจะเอาไปใช้ในธุรกิจตอนนี้มีเงินอยู่ 500 ล้านบาทเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ตนก็เลยถามว่า ใช่บัญชีม้าหรือไม่ แต่คุณนายอ้อน ก็บอกว่าไม่ใช่ แต่เป็นเทคนิคที่นักธุรกิจทำกัน ช่วงแรกตนก็ตอบปฏิเสธไป แต่คุณนายอ้อนก็ตามตื้ออยู่บ่อยครั้งจนตนใจอ่อน จึงตอบตกลงไป
ขั้นตอนแรกตนก็ส่งบัตรประชาชน พร้อมกับทะเบียนบ้านไปให้ โดยบอกกับตนว่า ให้ไปหาคนมาเปิดบัญชีเพิ่ม โดยจะให้ค่าตอบแทนจากการหาคนมาได้คนละ 8,000 บาท ส่วนบัญชีม้าที่หาได้มาจะได้รับค่าตอบแทน 35,000 บาท และมีเงินเดือนให้ 6 เดือนเดือนละ 10,000 บาท
ตนก็หามาได้ 23 คน
ซึ่งในการเปิดบัญชีนิติบุคคล บัญชีม้า 1 คน จะต้องจดชื่อเป็นกรรมการบริษัท 2 บริษัท / 1 คน เปิดบัญชี 4 ธนาคาร ก่อนจะไปเปิดบัญชี คุณนายอ้อนจะกำชับคำพูดให้ บอกว่าถือหุ้น 99% บางธนาคารจะไม่เปิดให้ เพราะพิจารณาตัวบุคคลแล้ว ไม่น่าจะเป็นกรรมการบริษัทได้ คุณนายอ้อน ก็จะด่าพนักงาน และถ้าหากใครจะถอนตัวก็ต้องจ่ายเงินมา 200,000 บาท หรือต้องหาคนมาเปิดบัญชีแทน ผู้เสียหาย เล่าต่อว่า ตนยังไม่ได้รับค่าตอบแทนสักบาท เพราะยังไม่สามารถปิดงานให้คุณนายอ้อนได้
ระหว่างนั้น คุณนายอ้อน จะมีการสอนตำราหนีตำรวจให้ด้วย ถ้าหากโดนจับ ก็ให้อ้างว่าไม่รู้ ๆ พยายามประวิงเวลาให้ได้นานที่สุด แล้วเดี๋ยวจะมีตำรวจเข้าไปช่วยเหลือ แต่ถ้าหากไม่สามารถให้การช่วยเหลือได้และโดนจับจริง ๆ ออกจากการันตีว่าครอบครัวจะอยู่สบายไปตลอดชาติ
นอกจากนี้คุณนายอ้อน มักจะเอารถยนต์เข้ามาบ่อย ๆ แล้วทำการส่งต่อไปที่บริเวณชายแดนอีกด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง รถที่คุณนายอ้อนขับมา โดนตำรวจเรียก ปรากฏว่าเป็นรถที่นำเข้าแบบผิดกฎหมาย แต่คุณนายอ้อนก็ได้ด่ากราดตำรวจ แล้วโทรหาให้คนมาช่วยเคลียร์จนรอดมาได้
หลังจากนั้นไม่นาน ตนเริ่มรู้สึกเอะใจ ว่าทำไมคุณนายอ้อนต้องคุยโทรศัพท์ตลอด แล้วลักษณะการคุยคือเป็นเรื่องของการเปิดบัญชีธนาคาร ถ้าหากทำไม่ได้จะส่งคนเข้าไปเคลียร์ เพระาถ้าถูกกฎหมายจริง ทำไมต้องมีการเคลียร์ ตนก็พยายามจะตีตัวออกห่าง คุณนายอ้อนก็เริ่มมีการข่มขู่เอารูปตำรวจไซเบอร์ให้ดูอ้างว่าคนนี้เป็นน้องเขย เอารูปที่ถ่ายคู่กับแม่ทัพภาค 2 มาขู่บอกว่ามีความสนิทสนมกัน แอบอ้างถึงเบื้องสูง ไปทำบุญหรือออกไปไหนตนก็มีรถตำรวจนำให้ และที่ร้ายแรงที่สุดคือการขู่ไปถึงครอบครัวของตน
วันนี้ที่ตนออกมาแฉ เพราะรู้สึกผิดอยากจะขอโทษสังคมถ้าหากตนต้องถูกดำเนินคดีตนก็พร้อม ตอนนี้อยากขอปกป้องครอบครัวและตนเอง เพราะคุณนายอ้อนมีการบอกผ่านคนสนิทของตนเองมาว่าอย่าชะล่าใจ สักวันเดี๋ยวโดนเก็บ จึงตัดสินใจนำเรื่องมาร้องเรียนกับทางมูลนิธิให้ช่วยเหลือ
ด้านทนายรณณรงค์ กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มีการทำงานกันเป็นขบวนการ หลอกชักชวนเยาวชนที่ไปเที่ยวตามสถานบันเทิงต่าง ให้มาเปิดบัญชีให้ โดยอ้างว่าเป็นบัญชีทำธุรกิจให้ผลตอบแทนครั้งละเกือบ 40000 บาทกับคนที่เปิดบัญชี ทำให้เยาวชนหลงเชื่อกล้าเสื่ยงที่จะทำผิด แต่ตนฝากเตือนน้องๆว่าอย่าไปทำมันได้ไม่คุ้มเสียน้องๆที่เปิดบัญชีแบบนี้ต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมาอีกเยอะ ทั้งภาษีที่ต้องจ่ายหากมีเงินเข้าบัญชีมาจำนวนมาก เจ้าของบัญชีต้องเป็นคนรับผิดชอบและหากบัญชีดังกล่าวมีเงินของผู้เสียหายที่ถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินเข้ามาก็จะเป็นคดีอาญา ซึ่งเรื่องนี้หน่วยงานต่างที่เกี่ยวข้องต้องเร่งเข้ามาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน ไม่งั่นจะเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง หลังจากนี้ตนจะพาผู้เสียหายไปร้องเรียนที่กองบังคับการตำรวจปราบปรามต่อไป