รวบสาวเปิดบัญชีม้า หนีตายจากปอยเปต
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก, พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น, พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท.,
พ.ต.อ.กฤษฎาพร ปานโปร่ง, พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท., พ.ต.ท.ภัททสักก์ ธนสุกาญจน์, พ.ต.ท.เอกพล แสงอรุณ รอง ผกก.1 บก.ปอท.
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.เอกคณิต เนตรทอง, พ.ต.ต.หญิง หทัยชนก อินทรวิจิตร,
ว่าที่ พ.ต.ต.กษิดิศ ดิลกคุณานันท์ สว.กก.1 บก.ปอท., ร.ต.อ.ปฏิญญา สงวนศักดิ์เกษร, ร.ต.อ.วิฑิตพงษ์ ราชู, ร.ต.อ.ทัศพงษ์ ผ่องใส รอง สว.กก.1 บก.ปอท., ด.ต.พีรวุฒิ โชติช่วง, ด.ต.ภานุวัติ เปี้ยนสีทอง, ด.ต.เอกชัย บุญบุตร, ด.ต.หญิง อภิลักษณ์ รัตนิยะ, จ.ส.ต.เจตธัช มหิทรเทพ, จ.ส.ต.กฤติเดช หอละเอียด ผบ.หมู่ กก.1 บก.ปอท.
ร่วมกันจับกุม นางสาวเบ็ญจมาศฯ สัญชาติไทย อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
โดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิด
ความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและ
ได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน”
พฤติการณ์ของคดี ตามนโยบายรัฐบาล, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ดำเนินการกวาดล้างขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นภัยอาชญากรรมที่ก่อความเสียหายต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง และเน้นย้ำให้มีการเตือนภัยรูปแบบการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้กับประชาชนทราบผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และสื่อต่างๆ
กก.1 บก.ปอท. ได้ดำเนินการสืบสวนติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับ ซึ่งเป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์
หลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินให้ ซึ่งวิธีการหลอกลวงจะใช้เฟซบุ๊กปลอม ติดต่อหาเหยื่อและพูดคุยด้วยความสนิทสนม
จนเกิดความเชื่อใจแล้ว จึงชวนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันปลอมชื่อ “Tidex” โดยในคดีนี้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้คนร้ายผ่านบัญชีม้าหลายบัญชี (1 ในนั้นเป็นบัญชีของผู้ต้องหาตามหมายจับรายนี้) รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 22.4 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาและผู้ต้องหาตามหมายจับรายนี้ ได้หลบหนีไปอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านและยังหลบหนีอยู่
โดยสมาชิกรายอื่นๆ ในเครือข่ายได้ถูกจับกุมดำเนินคดีส่งศาลอาญาพระโขนงไปแล้ว ในปี 2567 และศาลอาญาพระโขนงมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นตัดสินให้ลงโทษจำเลย
จากการสืบสวนและเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด พบว่าผู้ต้องหารายนี้ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง คอยย้ายสถานที่หลบหนีไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ง ได้สืบทราบว่าผู้ต้องหาตามหมายจับได้หลบหนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ที่บ้านพักใน จ.นครราชสีมา
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ซึ่งได้สะกดรอยติดตามผู้ต้องหารายนี้มาโดยตลอด จึงนำกำลังไปจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายและจะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้ที่ร่วมขบวนการรายอื่นๆ ต่อไป
สอบถามผู้ต้องหาให้การว่า ในครั้งแรก ผู้ต้องหาถูกหลอกลวงให้เปิดบัญชีธนาคารและข้ามไปทำงาน
ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหลอกลวงเอาเงินจากประชาชน โดยไม่เต็มใจที่จะไปทำ และถูกข่มขู่ บังคับสารพัด
จึงหนีกลับมาอยู่ภายในประเทศไทย แต่ในครั้งถัดๆ ไป ผู้ต้องหาเดินทางข้ามกลับไปทำงานอีกด้วยความสมัครใจ
โดยยอมรับว่าทำงานอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมาแล้วหลายครั้งและหลายแก๊ง
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยไปยังประชาชน ก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ ขอให้ประชาชนศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ อย่าหลงเชื่อคำชักชวนของบุคคลอื่นโดยง่าย และอย่าหลงเชื่อโฆษณาที่แอบอ้างว่าสามารถสร้างรายได้ได้อย่างง่ายๆ หรือให้ผลตอบแทนที่เกินความเป็นจริง ขอให้ใช้วิจารณญาณ และตรวจสอบข้อมูล
จากแหล่งที่เชื่อถือได้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ
ทั้งนี้ในส่วนของผู้รับจ้างเปิดบัญชี หรือยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชี มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากบัญชีถูกนำไปใช้ในทางทุจริต อาจจะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน
ซึ่งความผิดฐานฟอกเงินนั้น มีอัตราโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 10,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น อย่า! ขายบัญชีธนาคารของตนเองให้กับคนอื่นเด็ดขาด อย่า! รับจ้างเปิดบัญชี อย่า! ยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชี











