รวบผู้มีอิทธิพลลักลอบขุดดินกว่า 20 ปี
ชาวบ้านเคยถูกฟ้องกลับ 13 ราย
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์, พล.ต.ต.มนตรี เทศขันรอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น, พ.ต.อ.สุเทพ โตอิ้ม รอง ผบก.ป.,
พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ, พ.ต.ท.อรรถวิทย์ สุขทัศน์,
พ.ต.ท.เอนก บุญตา, พ.ต.ท.กิตติพงศ์ ศิลาพันธุ์, พ.ต.ท.ชนะ ขำทอง รอง ผกก.4 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย โดย พ.ต.ต.จิรัฎฐวัฒน์ กิจรุ่งเรืองเดช สว.กก.4 บก.ป.,
ร.ต.อ.ถวิล สายอินต๊ะ รอง สว.กก.4 บก.ปทส., ด.ต.จิรพันธ์ กันทะยอด, ด.ต.ทะนงศักดิ์ ตุ้ยวงศ์ษา และ
จ.ส.ต.เบนชัย ชื่นใจ ผบ.หมู่ กก.4 บก.ป.
จับกุม 1.นายอารีย์ฯ อายุ 70 ปี เจ้าของบ่อขุดดิน/ผู้ว่าจ้าง/นายจ้างของผู้ถูกจับกุมที่ 1
2.นายไอ้ผิด อายุ 19 ปี พบนั่งโดยสารมากับรถยนต์ส่วนบุคคลซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ขับขี่
3.นายพัฒนาฯ อายุ 20 ปี พบนั่งโดยสารมากับรถยนต์ส่วน ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ขับขี่
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน พระราชบัญญัติขุดดินถมดิน พ.ศ.2543 ฐาน
– ร่วมกันทำการขุดดินโดยมีความลึกจากระดับพื้นดินเกินสามเมตรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
-ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นเรื่องให้หยุดทำการขุดดิน ตามมาตรา 29 วรรคสอง หรือมาตรา 31 วรรคหนึ่ง”
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2562 ฐาน
-ร่วมกัน ตั้งโรงงานจำพวกที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
-ร่วมกันประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่”
พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2550
-ร่วมกัน ประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต
แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ นายอารีย์ฯ ผู้ต้องหาที่ 1 กระทำความผิด
ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 ฐาน
-ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่
– รู้ว่าคนต่างด้าวผู้ใดเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
-รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน
แจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 2 กระทำความผิด
พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ฐาน
-เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต (ไม่มีหนังสือเดินทาง
พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฐาน
-เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน
แจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 3 กระทำความผิด
พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฐาน
-เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานภายหลังการจับกุม
ของกลางที่ตรวจยึดได้ ประกอบด้วย:
1. รถแบคโฮ จำนวน 2 คัน
2. รถบรรทุกดิน จำนวน 3 คัน
3. เอกสารการรับส่งดิน ใบสั่งงาน บัญชีรายชื่อพนักงาน
4. กล้องวงจรปิด พร้อม DVR บันทึกภาพ
5. รถยนต์กระบะสีขาว
แรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา 2 ราย ไม่มีเอกสารอนุญาตทำงาน
สถานที่จับกุม บริเวณบริเวณโฉนดที่ดินไม่ทราบเลขที่ ท้องบ้านกอสะเลียม หมู่ที่ 8 ตำบลบวกค้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
สืบเนื่องจากเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามเดินทางถึงบริเวณเป้าหมาย ได้พบรถยนต์กระบะสีขาว ขับมาจอดบริเวณหน้าบ่อดิน และมีชายไทยรูปร่างคล้ายตามที่ได้รับข้อมูลการข่าวลงจากรถ ตรวจสอบพบว่าเป็นนายอารีย์ฯ อายุ 61 ปี เจ้าของกิจการบ่อดินดังกล่าว จากการตรวจสอบภายในรถยนต์คันเดียวกัน พบคนต่างด้าวชายจำนวน 2 ราย คือ นายจายซานและนายไอ้ผิด ทั้งสองเป็นชาวเมียนมา ไม่มีเอกสารอนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักร อีกทั้งยังไม่มีเอกสารหนังสือเดินทางหรือบัตรอนุญาตอยู่ในประเทศไทยอย่างถูกต้อง นายอารีย์ฯ อ้างว่า ทั้งสองเพิ่งเดินทางมาสมัครงาน ยังไม่ได้เริ่มทำงานแต่อย่างใด
ระหว่างการปฏิบัติการตรวจค้น คนงานในพื้นที่ได้ไหวตัวทันและพยายามขัดขวางเจ้าหน้าที่โดยนำรถบรรทุกขนาดใหญ่และรถกระบะไปปิดกั้นทางเข้าออกทั้ง 3 ด้านของบ่อดิน เพื่อเปิดทางให้คนงานหลบหนีทางด้านหลัง ส่งผลให้มีคนงานหลบหนีไปได้ 5 คน ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กองปราบปรามได้บันทึกภาพจากมุมสูงขณะที่รถแบคโฮกำลังตักดินใส่รถบรรทุก รวมถึงภาพเหตุการณ์ที่คนงานพยายามขัดขวางการตรวจค้นไว้เป็นหลักฐาน
จากการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบว่ามีการประกอบกิจการขุดดินอย่างเป็นระบบ มีรถแบคโฮทำงานภายในบ่อจำนวน 2 คัน รถบรรทุกดินรอขนถ่ายอีก 3 คัน จุดตั้งกล้องวงจรปิดพร้อมเครื่องบันทึก DVR ป้อมเสมียนบันทึกคิวรถเข้าออก บัญชีรายชื่อพนักงาน และเอกสารแสดงรายการการขนส่งดิน แสดงให้เห็นถึงการดำเนินกิจการอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งสิทธิแจ้งข้อกล่าวหาข้างต้น นำตัวนายอารีย์ พร้อมแรงงานต่างด้าว และของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสันกำแพง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พฤติกรรมก่อนหน้า นายอารีย์ฯ ได้ลักลอบเปิดบ่อดินผิดกฎหมายในพื้นที่บ้านกอสะเลียม หมู่ 8
หมู่ 11 ต.บวกค้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ มาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี โดยไม่มีใบอนุญาตและฝ่าฝืนผังเมืองรวมเชียงใหม่ ซึ่งระบุว่าเป็นพื้นที่สีเขียว ห้ามขุดดินโดยเด็ดขาด
ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี นายอารีย์ฯ เคยถูกจับกุมมาแล้ว 4 ครั้ง แต่คดี ไม่เคยถึงชั้นศาล เนื่องจากอัยการมีคำสั่งให้เปรียบเปรียบเทียบปรับ กับอุตสาหกรรม และเทศบาลเท่านั้น ทำให้ผู้ต้องหาไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ยังคงดำเนินกิจการอย่างท้าทายเจ้าหน้าที่รัฐ และก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างรุนแรง ทั้งเสียง ฝุ่น ถนนพัง และความเสื่อมโทรมของพื้นที่ชุมชน และอุบัติเหตุจากรถบรรทุก เข้าออก ดินตกหล่นถนนเลื่อนประชาชนบาดเจ็บมาแล้วหลายราย กระทบน้ำบาดาล แม่น้ำคลองสาธารณะเปลี่ยนสาย บ้านเรือนประชาชนชำรุด ดินทรุด
ชาวบ้านระบุว่า นายอารีย์ฯ อ้างตัวว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอดีตอัยการคดีดังและมีความเชื่อมโยงกับอดีตตำรวจระดับประเทศที่เคยเป็นข่าวดังในคดีอุ้มฆ่า ชาวบ้านเชื่อและเกรงกลัวและคดีไม่ถึงชั้นศาล จึงเชื่อและเข้าใจว่าเป็นผู้มีอิทธิพลคนใหญ่โตจริง
ในปี 2565 หลังจากถูกจับกุม ยังมี นายทหารนอกราชการชื่อดังปรากฏตัวในเครื่องแบบทหารเข้ามายังสำนักงานเทศบาลตำบลบวกค้าง เพื่อข่มขู่อดีตนายกเทศมนตรี ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับบ่อดิน ทำให้เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายไม่กล้าแตะต้อง
นอกจากนี้ นายอารีย์ฯ ยังนำเอกสารราชการภายใน เช่น หนังสือจาก ตร.ภาค 5 และหนังสือร้องเรียนของประชาชน ไปฟ้องกลับประชาชน 13 ราย ฐานหมิ่นประมาท เพื่อปิดปากผู้ร้องเรียน ต่อมาศาลจะยกฟ้องประชาชน โดยเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็น “เอกสารราชการที่ห้ามใช้ในทางส่วนตัว”
ชาวบ้านพยายามร้องเรียนผ่าน ส.ส. ทั้งพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล รวมถึงส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีหลายคน แต่ไม่มีการตอบกลับหรือแก้ไขใด ๆ ทำให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน เสื่อมศรัทธาต่อระบบยุติธรรมและการบริหารงานของรัฐ
ท้ายที่สุด จึงรวบรวมข้อมูลและเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ มายังกองปราบปราม เป็นผู้นำในการตรวจค้นจับกุม เพื่อให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่รายนี้
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นบุคคลต่างด้าว ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา