โอกาสใหม่ของสินค้าไทย: เมื่อเศรษฐกิจโลกหันหาสิ่งที่ยั่งยืนและจริงใจ
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หลายภาคส่วนอาจมองว่านี่คืออุปสรรคที่ยากจะข้ามผ่าน แต่ในฐานะประธานเครือข่ายหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) อำเภอเมืองนนทบุรี ดิฉันมองว่าในความท้าทายนี้มี “โอกาส” ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะโอกาสในการนำสินค้าไทยก้าวออกสู่ตลาดโลก ผ่านแนวโน้มใหม่ที่ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มมองหา “ความจริงใจ” มากกว่าราคา และ “ความยั่งยืน” มากกว่าแค่ภาพลักษณ์
จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) รวมสูงถึง 279,999.53 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 7–8% ต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าชุมชนในการเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ (ที่มา: รายงานแนวทางการส่งเสริมสินค้า OTOP สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า, 2566)
วันนี้สินค้าไทย โดยเฉพาะที่มีพื้นฐานจากชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น และงานฝีมือ กำลังกลับมาได้รับความสนใจในระดับนานาชาติอีกครั้ง จากเวทีนิทรรศการนานาชาติไปจนถึงตลาดออนไลน์ข้ามชาติ หลายประเทศเปิดพื้นที่ให้กับสินค้า “ที่มีที่มา” หมายถึงสินค้าที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองได้ ทั้งแหล่งผลิต ผู้ผลิต และคุณค่าที่ส่งต่อให้ผู้ใช้
สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของไทยเราจึงมีจุดแข็งอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหารแปรรูป งานหัตถกรรม หรือสินค้าแฟชั่นจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ล้วนสามารถ “แตกต่าง” ได้ด้วยเรื่องราวและตัวตนของชุมชน โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่มองหาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มจากวัฒนธรรม (Cultural Value) มากกว่าราคาต่ำเพียงอย่างเดียว
แม้ที่ผ่านมา ผู้ผลิตสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) หลายรายอาจยังไม่มีระบบที่รองรับการส่งออกอย่างเต็มรูปแบบ แต่วันนี้ด้วยเทคโนโลยีและตลาดออนไลน์ (Online Market) เราสามารถเริ่มต้นแบบการส่งออกเบื้องต้น (Soft Export) ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีทุนหรือโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น การออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ให้สื่อสารกับผู้บริโภคต่างประเทศ การแปลฉลากสินค้าและเรื่องราวสินค้าเป็นภาษาต่างประเทศ หรือการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่เน้นสินค้ายั่งยืนหรือชุมชนสร้างสรรค์
ในพื้นที่อำเภอเมืองนนทบุรีเอง ผู้ผลิตหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ได้เริ่มพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น กลุ่มเครื่องหอมที่พัฒนาแพ็กเกจและการเล่าเรื่องให้ร่วมสมัย หรือกลุ่มสมุนไพรที่เตรียมยื่นขอใบรับรองมาตรฐาน เพื่อเข้าสู่ตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ต้นทุนต่อหน่วยเพียงหลักร้อย แต่สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าต่อชิ้นได้มากกว่า 20–30%
บทบาทของเครือข่ายในยุคเปลี่ยนผ่าน จึงไม่ใช่แค่การส่งเสริมด้านการผลิตหรือการตลาด แต่ต้องทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และตลาดปลายทางอย่างมีเป้าหมาย เพื่อให้สินค้าของเรามีเส้นทางที่มั่นคงมากขึ้น
เครือข่ายหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) อำเภอเมืองนนทบุรีจึงเริ่มขับเคลื่อนโครงการใหม่ เช่น “โครงการเชื่อมรุ่น OTOP” ที่จับคู่ผู้ผลิตรุ่นเก๋ากับคนรุ่นใหม่เพื่อเสริมแนวคิดสร้างสรรค์, การพัฒนาชุดข้อมูลสินค้าในรูปแบบดิจิทัล (Digital Product Profile) เพื่อใช้ในการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และการจัดงานแสดงสินค้าที่มีเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มสุขภาพ หรือกลุ่มสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ดิฉันเชื่อว่า สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ไม่ใช่เพียงสินค้าท้องถิ่นอีกต่อไป แต่คือ “ภาพลักษณ์ของประเทศไทย” ในสายตาชาวโลก หากเราพัฒนาอย่างถูกทิศทาง และให้ความสำคัญกับเรื่องราวและมาตรฐานอย่างสมดุล เราจะสามารถเปลี่ยน “ของดี” ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ให้กลายเป็น “ของเด่น” ที่ยืนหยัดในตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิ
นางสาวรัชตา วริธราโรจน์
ประธานเครือข่ายหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) อำเภอเมืองนนทบุรี