สืบนครบาล ทลายแหล่งเก็บบุหรี่ไฟฟ้า 2 จุดย่านฝั่งธน พบของกลางกว่า 2 แสนชิ้น มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท วันที่ 16 พค. 68 นางสาว จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ตำรวจสืบนครบาล 9 นำโดย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.คมสิทธ์ รังไสย์ ผบก.น9. พ.ต.อ.ชัยพันธุ์ เพชรสดศิลป์ รอง ผบก.น9. และชุดสืบสวน สน.ภาษีเจริญ บุกทลายโกดังบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ย่านฝั่งธน ตามปฏิบัติการ “operation Smoke Out Ep.2” ปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่กรุงเทพมหานครจำนวน 2 จุด ซึ่งจุดแรกเป็นบ้านพัก 3 ชั้น หลังหนึ่งในซอยเทอดไท 83 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม. จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบของกลางจำนวนมาก ประกอบด้วย บุหรี่ไฟฟ้าใช้แล้วทิ้ง (เป็นคำ) 65,000 ชิ้น // แยกชิ้นหัวดูดบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยา 40,000 ชิ้น // อุปกรณ์ส่วนควบของบุหรี่ไฟฟ้า (ตัวจำหน่ายไฟฟ้า) 35,000 ชิ้น รวมของกลาง 140,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 70 ล้านบาท ส่วนจุดที่ 2 ที่เป็นแหล่งเก็บสินค้าบุหรี่ไฟฟ้าเครือข่ายเดียวกัน คือที่ คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งท้องที่ สน.บุคคโล ซึ่งเบื้องต้นพบของกลางอีกประมาณ 1 แสนชิ้น และรถยนต์ SUV ที่ใช้ขนสินค้า มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท รวมทั้ง 2 จุดมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท โดยการการบุกค้นในครั้งนี้ เป็นการขยายผลตามมาจากพบผู้ต้องสงสัยนำกล่องพัสดุไปส่งที่ร้านบริการส่งพัสดุเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งปกติจะต้องมีการใช้บัตรประชาชนในการรับรองพัสดุที่ส่งว่าถูกกฎหมาย แต่กลับไม่ยอมยื่นบัตรให้ บริษัทขนส่งจึงแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ภาษีเจริญ เพราะคาดว่าในสิ่งของภายในกล่องน่าจะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย จากนั้นชุดตำรวจสืบสวนได้ติดตามจนมาพบแหล่งเก็บบุหรี่ไฟฟ้าแห่งนี้ ตามที่อยู่บนกล่องพัสดุ เบื้องต้นจากการตรวจค้นนอกจากได้ของกลางแล้ว ยัฃสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย ซึ่งสารภาพว่า เป็นผู้ดูแล ด้านนางสาว จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 14 พฤษภาคม มีการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าแล้วกว่า 1.6 ล้านชิ้น มูลค่าหลายร้อยล้านบาท โดยช่วงนี้เป็นช่วงเปิดเทอม ได้มีการเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามร้านค้าในย่านสถานศึกษา ซึ่งเปิดเทอมนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีร้านค้าจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในลักษณะนี้แล้ว ทำให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ยากขึ้น โดยในส่วนของกรณีนี้ก็จะมีการขยายผลเพื่อติดตามตัวผู้นำเข้าสินค้าเหล่านี้ และขยายผลไปยังรายย่อยที่มีการตั้งร้านค้าและร้านออนไลน์อีกด้วย เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเจ้าของเดียวกับที่เคยไปทลายโกดังในจังหวัดนนทบุรี ที่มีบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 2.6 แสน มูลค่ารวามเสียหายกว่า 130 ล้านบาท เมื่อ 18 มีนาคมที่ผ่านมา อีกทั้งรัฐบาลยังสั่งการให้ตำรวจไซเบอร์และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการปราบปรามร้านค้าออนไลน์ เพื่อผิดกั้น URL ควบคู่กับการตั้งด่านตรวจสกัดบริเวณชายแดน ซึ่งหน้าที่ของตำรวจแต่ละพื้นที่ เพื่อจับกุมการลักลอบนำเข้า ทั้งนี้คาดว่าสินค้าล็อตนี้มีการนำเข้าก่อนที่จะมีการปราบปรามอย่างเข้มข้น ประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้ในช่วงที่มีการปราบปรามอย่างหนักไม่สามารถกระจายสินค้าจึงนำมาเก็บไว้ก่อน ซึ่งคาดว่าสินค้าเหล่านี้ถูกนำเข้ามาจากทางประเทศจีน ส่วนตัวน้ำยาอาจจะนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย โดยประเทศไทยไม่มีแหล่งผลิต เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ ส่วนสินค้าของกลางจะถูกส่งไปยังกรมศุลกากรเพื่อประเมินมูลค่าอีกครั้ง และคดีจะถูกส่งไปยัง ปปง. เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังบอกด้วยว่า ขอฝากประชาสัมพันธ์ ไปยังประชาชนให้ช่วยเป็นหูเป็นตาหากพบร้านค้าจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า สามารถแจ้งเบาะแสมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือสถานีตำรวจใกล้บ้าน ซึ่งเบื้องต้นได้รับแจ้งแล้วประมาณ 14,000 เคส แบ่งเป็นร้านค้าออนไลน์ 9,000 ราย และอื่นๆอีก 5,000 ราย ด้านพล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. บอกเสริมอีกว่า ในการตรวจค้นครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหา 1 ราย เป็นชาย สัญชาติไทย รายทำหน้าที่ดูและส่งสินค้า ซึ่งทำหน้าที่ดังกล่าวมาสามปีแล้ว ได้รับค่าจ้างเดือนละ 18,000 บาท โดยมีการซักทอดไปยังผู้ที่ว่าจ้างด้วย โดยเบื้องต้นได้ดำเนินคดี ในข้อหา การลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ถือว่า มีความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 และเป็นของต้องห้ามตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องสินค้าต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ.2559 ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 และ ประกาศกรมศุลกากรที่ 185/2564 เรื่อง พิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดนทางอิเล็กทรอนิกส์ ..////