นนทบุรี แม่หาย-บ้านหาย! ลูกสาวร้องทนายรณณรงค์ หลังพบบ้านถูกขายปริศนาใน 7 วัน หวั่นถูกหลอกเซ็นเอกสาร-ยึดทรัพย์คนชรา เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 13 พ.ค. 68 ที่ มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นางวราภรณ์ ยอดคำ อายุ 49 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือกับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม , นายชาญชัย ฉายบุ และนางชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กรณีนางเพ็ง งอกศรี อายุ 78 ปี ซึ่งเป็นมารดา มีภาวะความจำเสื่อม ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา ก่อนจะพบว่าในเวลาต่อมาบ้านที่อยู่อาศัยร่วมกับมารดา ถูกขายให้กับบุคคลอื่นโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีหนังสือขับไล่มาถึงภายใน 7 วัน หลังจากมารดาหายตัวไป สร้างความเคลือบแคลงใจว่าอาจมีการหลอกลวงผู้สูงอายุเพื่อยึดครองทรัพย์สินหรือไม่ นางวราภรณ์ ผู้เสียหาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนอยู่บ้านหลังนี้กับแม่มานานกว่า 10 ปีตั้งแต่แถวบ้านเป็นทุ่งนา ก่อนที่แม่จะหายตัวไปก็มีเรื่องระหองระแหงกันบ้างตามประสาแม่-ลูก หลังจากนั้นแม่ได้หายตัวไป ก่อนจะมีหนังสือขับไล่มาแปะที่หน้าบ้าน ซึ่งเมื่อไปสอบถามกับกรมที่ดิน พบว่ามีการขายบ้านและที่ดินตรงนี้ไปแล้ว ในราคา 500,000 บาท ซึ่งแม่ของตนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ กดเอทีเอ็มไม่เป็น เลยไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วแม่ได้เงินหรือไม่ได้เงิน อาจจะถูกล่อซื้อ ซึ่งราคาที่ขายค่อนข้างถูก ราคานี้ยังซื้อเสาบ้านไม่ได้ เนื้อที่ 66 ตารางวา ตนคิดว่าไม่ควรได้เงินเพียงเท่านี้ ตนไม่เคยได้พูดคุยกับคนที่ซื้อบ้านและที่ดิน แต่รู้สึกว่ามีพิรุธ เพราะไม่เคยแสดงตัว รู้แต่จากปากชาวบ้านว่าเป็นใคร ตนอยากรู้ว่าทำแบบนี้ได้ยังไง สงสัยคนมีฐานะที่รู้ว่าแม่ตนเองนั้นเข้า-ออกบ้านนี้อยู่เป็นประจำ ตนได้ประสานไปขอความช่วยเหลือกับสส.พรรคเพื่อไทย ในพื้นที่ แนะนำให้ไปยื่นเรื่องตามสถานที่ต่างๆ ทั้งศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงยุติธรรม รวมถึงกรมที่ดิน ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีการซื้อ-ขายกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ตนมีทางเดียวคือต้องย้ายออก เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าอย่าไปสู้เพราะสู้ยังไงก็แพ้ สู้ก็ติดคุกข้อหาบุกรุกและไปหาที่อยู่ใหม่ ไปติดต่อที่กรมที่ดินเจ้าหน้าที่ก็หัวร้อนใส่ ว่าให้ตนไปเอาทนายมา ตนแค่ต้องการอยากรู้ว่าใครเป็นผู้ซื้อบ้านและที่ดินของแม่ตนเอง อยากรู้ว่าแม่มากรมที่ดินกับใคร เนื่องจากแม่มีตนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะทำธุรกรรมอะไรจะมีแค่ตนที่พาไป ครอบครัวตนไม่มีญาติพี่น้อง ตอนนี้ตนรู้สึกเครียดที่สุดในชีวิต เพราะอยู่ดีๆก็จะถูกแจ้งความข้อหาบุกรุกบ้านตัวเอง นางชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิฯ กล่าวว่า เหตุการณ์ตั้งแต่วันที่แม่ของผู้เสียหายหายตัวไปเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 68 ซึ่งปกติแม่ของผู้เสียหายก็จะเดินไป-มา แถวละแวกบ้าน วันที่ 11 มี.ค. ผู้เสียหายเริ่มรู้ว่าแม่หายตัวไป จึงพยายามตามหาและถามหากับเพื่อนบ้าน ไปตามที่ผู้ใหญ่บ้านและผู้นำชุมชน มีคนบอกว่าเดี๋ยวก็คงกลับบ้าน หลังจากนั้นมีหนังสือ Notice มาติดที่หน้าบ้านเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 68 จึงเดินทางไปลงบันทึกประจำวันว่าแม่ได้หายตัวไป จากนั้นจึงได้ติดต่อมาที่มูลนิธิฯ ตนจึงแนะนำให้ไปหาหลักฐานก่อนที่จะให้ช่วยเหลือ จากนั้นผู้เสียหายจึงเดินทางไปที่กรมที่ดิน พบเอกสารว่ามีบุคคลได้ซื้อบ้านและที่ดิน เมื่อมีการพูดคุยกับชาวบ้านจึงรู้ว่าเป็นใคร ซึ่งอันดับแรกผู้เสียหายต้องการขอให้มูลนิธิฯช่วยตามหาแม่ กลัวว่าแม่จะโดนหลอกไปขายบ้าน เพราะแม่เคยโดนหลอกมาแล้ว 1 ครั้ง โดยให้เซ็นกระดาษเปล่าเพื่อไปถอนเงินกองทุนหมู่บ้าน แต่ธนาคารออมสินไม่ยอมให้เบิก จึงทำให้ไม่เป็นหนี้ 10,000 บาท ลูกสาวจึงได้มีการตักเตือนไปว่าหากทำอะไรต้องมีการบอกกล่าวกันก่อน วันนี้ผู้เสียหายไม่มีที่อยู่ และแม่ได้หายตัวไปเป็นเดือน ยังมีความหวังก็จะยังมีชีวิตอยู่ ทางมูลนิธิฯก็จะช่วยตามหา โดยเฉพาะคนที่รับซื้อบ้านและที่ดิน จะต้องรู้ว่าแม่ของผู้เสียหายหายตัวไปไหน ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า ตอนแรกที่ผู้เสียหายติดต่อมาดูอาจจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่เมื่อตนให้ไปหาหลักฐาน ทางผู้เสียหายจึงได้พยายามไปหาหลักฐานเพิ่มเติม และเดินทางมาจากจ.ร้อยเอ็ด ทางมูลนิธิฯจึงรับเรื่องและประสานให้นักข่าวมาช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ ซึ่งหลังจากตนรับเรื่องและได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าจำไม่ได้ว่ามีการมาลงบันทึกประจำวันว่ามีหญิงสูงอายุหายตัวไปไว้ โดยดูจากในใบบันทึกประจำวันก็มีการระบุไว้ชัดเจน อย่างแรก ตนมองว่าถ้าสามารถตามหาตัวของคุณแม่ผู้เสียหายเจอ จึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับการหายตัวไป การขายบ้านและที่ดิน รวมถึงเงินอีกกว่าครึ่งล้าน ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเป็นห่วงว่าใครจะทำร้ายแม่ตนเอง ทุกวันนี้ก็ยังหาไม่เจอ ที่สำคัญไม่รู้ว่าแม่ขายบ้านไปแล้วได้เงินจริงหรือไม่ แต่มีเอกสารจากกรมที่ดินว่ามีการรับเงินจากการขายบ้านจริง ซึ่งไม่รู้ว่าคุณแม่เอาเงินไปฝากใคร และไปอยู่กับใครถึงได้หายตัวไป มีข้อสงสัยว่าเจ้าพนักงานที่ดินที่ดีควรต้องสังเกตว่าคุณแม่มากับลูก มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนระหว่างการทำธุรกรรมหรือไม่ ตนอยากให้กรมที่ดิน จ.ร้อยเอ็ด ออกมาอธิบายเรื่องนี้ คนอายุ 78 ปี มาขายที่ดินและได้รับเงินกว่าครึ่งล้าน เดินทางมากับใคร ตนรู้สึกติดใจกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ หลังจากวันนี้เมื่อนำเสนอข่าวออกไปคาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรู้ว่ามีคดีนี้อยู่ในมือ การแจ้งคนหายควรออกตามหาไม่ใช่ต้องรอให้ออกสื่อ หลังจากนี้ทางมูลนิธิฯจะขึ้นรูปคุณแม่ของผู้เสียหาย เพื่อให้ประชาชนช่วยกันตามหา ตนไม่อยากลงลึกว่าที่ดินผืนตรงนั้น มันอาจจะเป็นทางเข้า-ออกของหมู่บ้านจัดสรรด้านหลังก็ได้ จึงอาจเป็นสาเหตุให้มีการซื้อ-ขายบ้านเกิดขึ้น นายชาญชัย ฉายบุ ที่ปรึกษามูลนิธิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า เคสนี้ไม่ใช่ว่าลูกจะหมดหวัง เพราะในทางกฎหมาย การหลอกคนแก่ไปทำธุรกรรม ทางกฎหมายสามารถให้เป็นโมฆะหรือโมฆียะได้ แต่ทำไมเจ้าหน้าที่กลับปล่อยปะละเลยเรื่องนี้ได้อย่างไร ควรมีการสอบถามถึงสติสัมปชัญญะของหญิงสูงอายุวัย 78 ปี ว่ามีลูกหลานรับรู้ด้วยหรือไม่ หากละเลยก็ถือว่ามีความผิดในมาตรา 157 และการซื้อ-ขายบ้านและที่ดิน ต้องมีการเซ็นพยาน 2 คน ซึ่งสามารถสืบค้นให้ความจริงกระจ่างได้