“ผกก.โจ้” ดับปริศนาคาคุก “ยธ.-ตร.” ยังไม่ฟันธงเข้า พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
กรมคุ้มครองสิทธิฯระบุที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาคดี “อดีตผู้กำกับโจ้” ตายคาคุกคลองเปรม ยังรอผลชันสูตรศพ จากรพ.จุฬาฯ และต้องสอบปากคำเพิ่ม ก่อนสรุปเข้า พ.ร.บ.อุ้มหายฯ หรือไม่
วันนี้ (17 มี.ค.) เวลา 15.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายธีรยุทธ แก้วสิงห์ รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สัญญา อุบลวิรัตนา ผกก.สน.ประชาชื่น ร่วมแถลงผลการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองข้อเท็จจริงกรณีการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ครั้งที่ 3/2568 เพื่อพิจารณา ข.ช.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้เสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 “พ.ร.บ.อุ้มหาย” หรือไม่
นายธีรยุทธ เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการฯ มีการประชุมพิจารณาเรื่องอดีตผู้กำกับโจ้ เสียชีวิตระหว่างการถูกควบคุมตัวภายในเรือนจำฯ แบ่งเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ 1.ประเด็นการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวภายในเรือนจำกลางคลองเปรม และ 2.ประเด็นร้องเรียนว่าถูกผู้คุมเรือนจำกลางคลองเปรม กลั่นแกล้งใช้ความรุนแรงระหว่างที่ถูกควบคุมตัว โดยมติที่ประชุมเรียนว่า ประเด็นการเสียชีวิตเนื่องจากผลการผ่าชันสูตรพลิกศพยังไม่ถึงที่สุด แม้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม จะได้แถลงผลอย่างไม่เป็นทางการ ให้น้ำหนักไปที่การฆ่าตัวตาย แต่ก็ยังรอรายงานการผ่าชันสูตรพลิกศพอย่างเป็นทางการจากรพ.จุฬาลงกรณ์ รวมทั้งผลการตรวจวัตถุพยานและสถานที่เกิดเหตุจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างรอบคอบมากที่สุด คณะอนุกรรมการฯ จึงมีมติให้ชะลอการพิจารณา และหากผลการตรวจดังกล่าวเป็นที่สิ้นสุดแล้ว จะได้ประชุมพิจารณาอย่างเร่งด่วนต่อไป
นายธีรยุทธ เผยอีกว่า ส่วนกรณีมีการร้องเรียนว่าผู้คุมเรือนจำกลางคลองเปรม มีการใช้ความรุนแรงและกลั่นแกล้งต่อ อดีตผู้กำกับโจ้ มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ หรือไม่นั้น คณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้คณะทำงานลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้ง บุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 ปาก และจากญาติของผู้เสียชีวิต ได้แก่ มารดาและน้องสาว ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่า ควรมีการสืบสวนสอบสวนให้ครบถ้วนทุกฝ่าย ดังนั้น เพื่อให้การตรวจสอบการกระทำดังกล่าวเป็นไปด้วยความรอบคอบ โปร่งใส ยุติธรรมกับทุกฝ่าย คณะอนุกรรมการฯ จึงได้มีมติให้ทำการสอบสวนตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดย สน.ประชาชื่น ดำเนินการสอบสวน โดยมี พนักงานอัยการเข้ากำกับการสอบสวน ตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
นายธีรยุทธ เผยด้วยว่า การตรวจสอบว่าเข้าข่ายตามความผิดกฎหมายอุ้มหายหรือไม่ ก็ต้องดูว่ามันเป็นการกระทำทรมานหรือกระทำโหดร้าย ทารุณย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต้องมีความชัดเจนก่อน วันนี้จึงยังไม่สามารถที่จะชี้ชัดได้ว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ และเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 5 หรือมาตรา 6 จนเป็นเหตุให้อดีตผู้กำกับโจ้ได้รับบาดเจ็บอย่างไรบ้าง ขอให้พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบข้อเท็จจริงก่อน
“ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนในส่วนของการเสียชีวิตระหว่างควบคุมตัว สถิติตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน มีประมาณหลักร้อยราย โดยเป็นตัวเลขที่ได้รวบรวมจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วประเทศที่มีอำนาจในการควบคุมตัว มีทั้งกรมราชทัณฑ์ และสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น ซึ่งจำนวนหลักร้อยรายนี้ต้องได้รับการกลั่นกรองว่าเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฏหมายอุ้มหายหรือไม่ อย่างไร” นายธีรยุทธ กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.สัญญา อุบลวิรัตนา ผกก.สน.ประชาชื่น เผยว่า ปัจจุบันทางพนักงานสอบสวน ได้มีการทำหนังสือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้อัยการมาร่วมกำกับการสอบในคดีความผิดตามกฎหมายอุ้มหายฯ เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้มีการสอบสวนปากคำญาติของผู้เสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว ทั้งมารดา น้องสาว และแฟนสาวอดีตผู้กำโจ้ ซึ่งตอนนี้คิดว่ามีพฤติการณ์ที่น่าจะเข้าข่ายความผิดตามกฏหมายอุ้มหาย ส่วนท้ายสุดจะพบเจ้าหน้าที่รัฐมีการกระทำความผิดหรือไม่นั้น ต้องดูที่พยานหลักฐานและการสอบสวนปากคำให้ครบถ้วนก่อน
พ.ต.อ.สัญญา เผยอีกว่า สิ่งที่พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการต่อไป คือ การไปสอบสวนปากคำบุคคลเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้ต้องขังภายในแดน 7 เรือนจำกลางคลองเปรม ซึ่งเบื้องต้นมีประมาณ 3-4 รายที่ต้องสอบสวน เพราะเราต้องการตรวจสอบเรื่องกรณีที่อดีตผู้กำกับโจ้ได้ร้องเรียนว่าได้ถูกผู้คุมทำร้ายร่างกาย กลั่นแกล้ง รวมถึงต้องสอบสวนปากคำเพื่อนผู้ต้องขังภายในแดน 5 เรือนจำกลางคลองเปรม และในส่วนของผู้คุมเรือนจำฯ ที่เป็นคู่กรณีของอดีตผู้กำกับโจ้ด้วย
“กรณีการเสียชีวิตของอดีตผู้กำกับโจ้และการที่เคยร้องเรียนผู้คุมว่าถูกกลั่นแกล้งรังแก อาจมีความเชื่อมโยงกัน เพราะว่าในเรื่องของการถูกทำร้ายร่างกายและถูกย้ายแดนมานั้น อาจเข้าข่ายการทรมาน เพราะมีการถูกย้ายจากแดน 7 มายังแดน 5 ก่อนตัดสินใจผูกคอตนเองเสียชีวิตภายในห้องขัง จึงต้องไปดูพยานหลักฐานว่ามันมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่ เราจึงต้องไปสอบสวนเหตุการณ์ตั้งแต่ที่อดีตผู้กำกับโจ้ถูกคุมขังภายในแดน 7 และย้ายมายังแดน 5 รวมถึงเมื่อมาอยู่ภายในแดน 5 เป็นเวลาเดือนเศษเกิดอะไรขึ้นบ้างกับอดีตผู้กำกับโจ้“ พ.ต.อ.สัญญา กล่าวทิ้งท้าย