สาวร้อง ยธ.เอาผิดทนายดังภูเก็ตอดีตแฟนทำร้าย-คุกคามข่มขู่
หญิงสาวเข้าร้องกระทรวงยุติธรรมให้ช่วยเหลือ หลังทุกข์ทรมานใจ ใช้ชีวิตอย่างหวาดระเเวงนาน 2 ปี ปมถูกอดีตคนรักทนายดัง จ.ภูเก็ต ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่คุกคามชีวิต
วันนี้ (17 มี.ค.) ณ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นางชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง พร้อมด้วยผู้เสียหาย น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 36 ปี อาชีพ นายหน้าอสังหาฯ และเจ้าของธุรกิจส่วนตัว เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ ขอรับความช่วยเหลือต่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กรณี ถูกทนายความชายรายหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตคนรักพยายามรังควาน คุกคามต่อชีวิต หลังผู้เสียหายพยายามตีตัวออกห่างเนื่องด้วยพบว่าทนายความชายมีพฤติกรรมชู้สาวกับหญิงรายอื่น และยังมีการยืมเงินอ้างใช้เรื่องคดีความและสร้างบ้าน แต่เมื่อติดตามทวงถามเงินคืน กลับถูกอ้างว่าเป็นการให้เงินโดยเสน่หา จึงประสงค์ขอรับการคุ้มครองพยาน ติดตามความคืบหน้าทางคดี และการตรวจสอบมรรยาททนายความ โดยมี นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม เป็นผู้แทนรับเรื่อง
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ผู้เสียหายมาร้องเรียนผ่านมูลนิธิ เพื่อประสานขอรับความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม เบื้องต้นผู้ร้องแจ้งว่าถูกทำร้ายร่างกายจากบุคคลซึ่งมีอาชีพเป็นทนายความ ประมาณ 2 ปี มีการข่มขู่คุกคาม ทราบว่าผู้เสียหายเคยมีการแจ้งความร้องทุกข์ 3 แห่ง ในจังหวัดภูเก็ต (สภ.เมืองภูเก็ต สภ.ฉลอง และ สภ.วิชิต) อีกทั้ง มีการร้องเรื่องมรรยาททนายไปยังสภาทนายความให้รับเรื่องแล้ว
นายสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า ส่วนผู้เสียหายต้องการรับการคุ้มครองพยาน ทั้งในส่วนของตัวเองและผู้ที่เข้าให้ความช่วยเหลือ หากเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและร่างกาย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จะจัดชุดเจ้าหน้าที่สำหรับการคุ้มครองพยานให้ นอกจากนี้ ในเรื่องของการเยียวยาทดแทนจากการถูกทำร้ายร่างกาย คณะอนุกรรมการฯ จะต้องนำไปพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงว่ามีลักษณะเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ต่อไป
ด้าน น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย กล่าวว่า ทนายความรายดังกล่าวมีการใช้การใช้อำนาจทางทนายมาข่มขู่ตน เพราะเมื่อมีการไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทนายความรายนี้มักจะบอกว่าตำรวจไม่สามารถช่วยอะไรได้ มักอ้างว่าตนเองเป็นคนใหญ่คนโต หากใครเข้ามาให้ความช่วยเหลือตนจะไล่ฟ้องทั้งหมด นอกจากนี้ ตนยังเคยคิดสั้นฆ่าตัวตาย เพราะทนายรายนี้ชอบบอกว่าตนเป็นชู้กับชายอื่น ทั้งนี้ ทนายความรายดังกล่าวยังมีการคุกคามข่มขู่คนอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือตนด้วย
น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า ตนได้มารู้จักกับทนายความรายนี้เมื่อช่วงต้นปี 2566 เพราะตนเคยทำการเมืองมาก่อน โดยทนายรายนี้ได้มาเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัด ตนในขณะนั้นถือเป็นหัวหน้าจังหวัดพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ช่วงแรกเป็นการพูดคุยกันแบบเพื่อน จากนั้นทนายความได้มีการขอยืมเงินตน 800,000 บาท อ้างนำไปทำเกี่ยวกับเรื่องคดีความ ซึ่งการที่ตนให้ยืมในตอนนั้นยังไม่ได้เป็นการคบหากัน ด้วยความสงสารจึงให้ยืม จากนั้นตนและทนายได้มีการพูดคุยกันมาเรื่อยๆ จนตกลงคบหาดูใจกัน กระทั่งปลายปี 2566 ทางทนายได้อ้างว่ามีปัญหาเรื่องครอบครัว จึงขอยืมเงิน 400,000 บาท ไปสร้างบ้าน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างช่วงที่คบหากันปรากฏว่ามีเรื่องผู้หญิงเข้ามาตลอด มีผู้หญิงอื่นคอยส่งภาพว่าทนายรายนี้เข้าไปยุ่งด้วย ตนจึงตัดสินใจตีตัวออกห่างและขอเงินคืน แต่ทนายรายนี้กลับบอกว่าเงินที่ตนให้นั้นเป็นการให้ด้วยเสน่หา ตนก็ไม่ได้อะไรแล้วก็ได้มีการปิดกั้นช่องทางการติดต่อสื่อสาร แต่ทนายความรายดังกล่าวก็ยังหาเบอร์โทรศัพท์ใหม่พยายามติดต่อขอคืนดีด้วย และเมื่อตนไม่กลับไปคืนดี ก็พยายามข่มขู่ว่าจะฟ้อง อ้างว่าจะหาช่องทางฟ้องทำให้ตนมีคดีไม่สามารถอยู่ในจังหวัดภูเก็ตได้อีก ตอนนี้ทั้งตนและคนที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือล้วนได้รับความเดือดร้อนจากสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมาระหว่างที่คบหาดูใจกัน ทางทนายความไม่เคยให้สิ่งของตอบแทนอะไรแก่ตน