ตำรวจไซเบอร์ล่าไม่ถอย รวบเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์หลายขบวนการ
.
สืบเนื่องจากนโยบายของ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ให้แต่ละกองบังคับการ มีการการระดมจับกุมอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในโลกไซเบอร์และปราบปรามการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการดำเนินการในทุกๆ เดือน อย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
.
1. กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.4 จับกุม 2 ผู้ต้องหา เครือข่ายหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ หลอกลงทุน และคอลเซ็นเตอร์ เชื่อมโยง 7 เคสไอดี ความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
.
1. นางสาวนุชสรารัตน์ อายุ 29 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 9/2568 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 โดยจับกุมได้ที่บ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ม.10 ต.คุยม่วง อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก
2. นายจิรวัฒน์ อายุ 33 ปี ตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 3/2568 ลงวันที่ – มกราคม 2568 โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ถนนไชยานุภาพ ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน และขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในขบวนการรายอื่นๆ ต่อไป
.
2. กก.2 บก.สอท.5 ขบวนการหลอกลวงให้ลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บไซต์ ctutdu5a.cc มูลค่าความเสียหาย 1,153,737.68 บาท โดยจับกุมตัว นายนควัตร อายุ 24 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 55/2568 ลงวันที่ 21 มกราคม 2568 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา” เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผล นำตัวผู้ร่วมขบวนการรายอื่น มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
.
3. กก.3 บก.สอท.5 จับกุมเจ้าของบัญชีขบวนการหลอกลงทุน โดยจับกุมนายอานนท์ อายุ 31 ปี ชาว จ.กาญจนบุรี ตามหมายศาลอาญา ที่ จ.933/2568 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลคนหนึ่งบุคคลใดและเป็นผู้เปิดหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตนโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตน หรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง โดยประการที่รู้หรือควรจะรู้ว่าจะ นำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี”
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ยังคงสืบสวนอย่างต่อเนื่อง และการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ในการตรวจสอบข้อมูลการโอนเงิน และการใช้เทคโนโลยีในการหลอกลวงที่ถูกใช้ในคดีหลายกรณี ที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก โดยผู้ต้องหาหลายรายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการธุรกรรมการเงินผ่านบัญชีปลอมและการทำธุรกรรมออนไลน์ในลักษณะหลอกลวง ซึ่งมีการทำงานเป็นระบบตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติการไปจนถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่คอยสั่งการการดำเนินงาน
.
ทั้งนี้ ตำรวจไซเบอร์ยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเพิ่มความระมัดระวังในการใช้บริการโทรศัพท์และการทำธุรกรรมออนไลน์ พร้อมทั้งแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและไม่หลงเชื่อข้อความหรือข้อเสนอที่ดูไม่น่าเชื่อถือจากแหล่งที่ไม่รู้จัก

