กรมบัญชีกลางจี้ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบ หวั่นเม็ดเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจ
กรมบัญชีกลางยันฐานะการคลังยังแข็งแกร่ง เชื่องบใช้จ่ายภาครัฐไม่สะดุด วอนภาครัฐเร่งเบิกจ่าย หวังอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ คาดอีกไม่นานรัฐบาลขยับเพดานหนี้สาธารณะแน่ จากสภาวะถังแตก หากไม่กู้เพิ่ม การลงทุนภาครัฐสะดุด
ตามที่มีรายการข่าวกล่าวถึงฐานะเงินคงคลังของรัฐบาลว่า ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 มีจำนวน 245,494 ล้านบาท ซึ่งลดต่ำลงอย่างน่าเป็นห่วง จากที่ปกติจะอยู่ในระดับ 400,000 – 500,000 ล้านบาท นั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล ซึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านรายได้ รายจ่าย และเงินกู้ โดยการบริหารเงินคงคลังดำเนินการภายใต้คณะทำงานมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะทำการติดตามความเคลื่อนไหวของเงินคงคลังให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการในแต่ละเดือน กล่าวคือ เงินคงคลังจะต้องมีจำนวนไม่น้อยเกินไปจนเป็นปัญหาต่อการเบิกจ่ายเงินตามปกติของส่วนราชการ และต้องไม่มากเกินไปจนเกิดความสูญเปล่า เพราะรัฐบาลยังมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้เงิน ซึ่งระดับเงินคงคลังที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับความต้องการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น จึงได้บริหารเงินคงคลังให้คงเหลือ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 จำนวน 245,494 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอต่อการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการในช่วงเวลาดังกล่าว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวทิ้งท้ายว่า กรมบัญชีกลางมีการดูปริมาณเงินคงคลังอย่างใกล้ชิดให้เพียงพอต่อความต้องการการใช้เงินของส่วนราชการ เพราะกรมบัญชีกลางกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการเป็นรายเดือน โดยได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์มีการเบิกจ่ายเงินที่กันเหลื่อมปีมาจากปีงบประมาณ 67 ไปแล้วประมาณ 53% และมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 68 ไปแล้วกว่า 45% ซึ่งต้องขอเน้นย้ำให้ส่วนราชการเร่งรัดการเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าหมายที่กรมบัญชีกลางวางไว้ เพื่อเป็นการฉีดเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า สถานะการเงินของรัฐบาลผ่านการใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด รัฐบาลขยับสร้างผลงานได้อย่างมีข้อจำกัด ไม่คล่องตัว จึงมีความเป็นไปได้ที่จะต้องกู้เงินเพื่อนำมาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ แต่ติดอยู่ที่ว่า ขณะนี้ตัวเลขหนี้สาธารณะเต็มเพดานหนี้ที่ 70% ของGDP หากไม่ขยับวงเงินหนี้สาธารณะขึ้นไปที่ 75%-80% ของGDP รัฐบาลจะอยู่ในสภาวะถังแตก ไม่มีเงินลงทุนจากภาครัฐ หมดโอกาสสร้างผลงานจนอาจมีผลต่อคะแนนเสียงเลือกตั้งในครั้งต่อไป











