อจ.มรภ.วไลยอลงกรณ์ เยี่ยมโครงการวิจัย ”ดุกดี” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยห่วงโซ่คุณค่าปลาดุกแดดเดียว
วันที่ 5 มีนาคม 2568 ณ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิต หมู่ 8 ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชวาลา ละวาทิน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ รองศาตราจารย์ ดร.อรสา จรูญธรรม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดร.นิสา พักตร์วิไล คณบดี คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมคณะผู้บริหาร อาจารย์ นักวิจัย และหน่วยงานราชการจังหวัดปทุมธานี ตรวจเยี่ยมพื้นที่วิจัยครั้งที่ 1/2568 “VRU Research Roadshow 2028” ภายใต้การดำเนินงานโครงการ “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยห่วงโซ่คุณค่าปลาดุกที่มีผลกระทบสูงจังหวัดปทุมธานี”
โดยมีแม่บ้านวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิต หมู่ 8 ต.คลองหก สาธิตการแปรรูปปลาดุกแดดเดียวอบในตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมทั้งนำเยี่ยมชมบ่อเลี้ยงปลาของเกษตรกรในชุมชนหมู่ 8
สำหรับพื้นที่วิจัยนี้เป็น 1 ใน 18 พื้นที่กลุ่มเป้าหมายในการดำเนินงานของ ว่าที่ ร.ต. ปิยะพงษ์ ยงเพชร หัวหน้าโครงการวิจัย ภายใต้กรอบการวิจัย “การพัฒนาขีด ความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่ (Local Enterprises) บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่น เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่” ประจำปีงบประมาณ 2567 ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ( ววน.) และหน่วยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำหรับวัตถุประสงค์การลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจนักวิจัย ติดตามความก้าวหน้า และรับฟังผลการดำเนินงาน ของโครงการวิจัยที่ได้รับสนับสนุนทุนวิจัยและดำเนินงานในพื้นที่เป้าหมาย พร้อมประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินเชิงพื้นที่ของมหาวิทยาลัย
ว่าที่ ร.ต. ปิยะพงษ์ ยงเพชร หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า ทั้งนี้ในการลงพื้นที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และถ่ายทอดการดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ผู้ประกอบการธุรกิจปลาดุกปลอดภัย สำนักงานประมงจังหวัดปทุมธานี กองทุนพัฒนาไฟฟ้าโรงไฟฟ้าวังน้อยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดปทุมธานี และหน่วยงานอื่นๆ ร่วมด้วย การเลี้ยงปลาดุกปลอดภัย: โอกาสและความท้าทายจากต้นน้ำถึงปลายน้ำในจังหวัดปทุมธานี
ปลาดุก เป็นหนึ่งในแหล่งโปรตีนสำคัญที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยเนื้อปลา 100 กรัม ให้โปรตีนสูงถึง 15.5 กรัม และมีไขมันต่ำเพียง 7.6 กรัม ที่สำคัญยังมีโอเมก้า 3 ประมาณ 460 มิลลิกรัม ซึ่งเหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพและสามารถบริโภคได้ทุกชนชาติและทุกศาสนา
จังหวัดปทุมธานี ถือเป็นแหล่งผลิตปลาดุกอันดับหนึ่งของประเทศไทย มีมูลค่าการผลิตสูงถึง 729 ล้านบาท บนพื้นที่ 13,767 ไร่ และมีปริมาณการผลิตรวม 15,843 ตันต่อปี ในปี พ.ศ. 2566 ประเทศไทยมีการส่งออกปลาดุกทั้งแบบปลาสด แช่แข็ง และแปรรูป รวม 518 ตัน โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ สปป.ลาว สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะที่ประเทศมาเลเซียเป็นผู้นำเข้าปลาดุกจากไทยมากที่สุด รองลงมาคือประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม ห่วงโซ่คุณค่าปลาดุก (Old Value Chain) ของไทยยังคงเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ ได้แก่
1.ความไม่แน่นอนของแหล่งลูกพันธุ์และคุณภาพของลูกปลา
2.ต้นทุนการผลิตที่สูงจากค่าอาหารและปัจจัยการผลิต
3.ข้อจำกัดด้านมาตรฐานความปลอดภัยอาหารและการควบคุมสารตกค้าง
4.การขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเกษตรกร
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ดำเนินโครงการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการปลาดุกเครือข่ายปลาดุกปลอดภัย “ดุกดี” จังหวัดปทุมธานี ภายใต้กรอบคิดโมเดล WOW (คน-ของ-ตลาด) เป็นกรอบแนวคิดสำคัญ โดยมีเป้าหมายในการสร้าง“ห่วงโซ่คุณค่าใหม่” (New Value Chain) ที่มีความยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยมีแนวทางในการขับเคลื่อนงานด้วยโมเดล WOW (กรอบวิจัย Local Enterprises) มีดังนี้: คน: มุ่งเน้นการยกระดับทักษะของเกษตรกรและผู้ประกอบการผ่านการอบรมและการถ่ายทอดความรู้ด้านการจัดการฟาร์มและการตลาด การบริหารจัดการการเงินครัวเรือน (กระเป๋าตังค์ครัวเรือน) ทำให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดภาระหนี้สิน ของ: มุ่งพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ปลาดุกและผลิตภัณฑ์แปรรูปให้ได้มาตรฐาน เช่น ปลาดุกแดดเดียว ปลาเส้น และผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ โดยมีการควบคุมคุณภาพตั้งแต่การเลี้ยงจนถึงการแปรรูป เพื่อให้สินค้ามีความปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับในตลาดทั้งในและต่างประเทศ และเพิ่มโอกาสในการส่งออกปลาดุกสดในต่างประเท ตลาด:สร้างเครือข่ายและขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านการจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการ การสร้างเครือข่ายที่แบ่งปัน เกื้อกูล และพึ่งพากัน รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ “ดุกดี…ปลาดุกปลอดภัย”เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและขยายส่วนแบ่งการตลาด
นอกจากนี้โครงการยังส่งเสริมการใช้นวัตกรรมพร้อมใช้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น:ระบบฟักลูกปลาดุกแบบกรวยน้ำวน: มีการใช้นาโนบับเบิ้ลและระบบควบคุมอุณหภูมิ ช่วยเพิ่มอัตราการรอดของลูกปลาดุกและลดการใช้สารเคมี พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการเพิ่มผลผลิตในช่วงฤดูหนาว การใช้จุลินทรีย์ในการปรับคุณภาพน้ำ:ลดปัญหาน้ำเน่าเสียและสารตกค้างในบ่อเลี้ยง ทำให้ปลาดุกมีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค
จากการดำเนินโครงการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าปลาดุกปลอดภัยในจังหวัดปทุมธานีได้สร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่นในหลายด้าน ดังนี้ ด้านการผลิต สามารถเพิ่มคุณภาพของลูกพันธุ์ปลาดุกด้วยระบบฟักแบบกรวยน้ำวนที่ใช้นาโนบับเบิ้ลและระบบควบคุมอุณหภูมิ ส่งผลให้ลูกพันธุ์มีอัตราการรอดสูงขึ้นและมีสุขภาพแข็งแรง และช่วยสร้างโอกาสในการผลิตลูกพันธ์ปลาในช่วงฤดูหนาว ลดการใช้สารเคมีในกระบวนการเลี้ยงปลา การใช้จุลินทรีย์ในการปรับคุณภาพน้ำช่วยลดการเน่าเสียและปัญหาสารตกค้าง ทำให้ปลาดุกมีคุณภาพที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
ด้านเศรษฐกิจ จากการสร้างเครือข่ายการรับซื้อปลาดุกสดมากถึง 6,000 กิโลกรัมต่อวัน หรือประมาณ 2,000 ตันต่อปี คิดเป็นร้อยละ 12.6 ของปริมาณปลาดุกสดทั้งหมดในจังหวัดปทุมธานี เพื่อการแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลาดุกในการสร้างรายได้เพิ่ม สร้างรายได้และลดต้นทุน: ช่วยลดต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยได้ร้อยละ 10-15 ผ่านการจัดการต้นทุนอาหารและการใช้เทคโนโลยี พร้อมทั้งเพิ่มรายได้จากการแปรรูปปลาดุก เช่น ปลาดุกแดดเดียว ปลาเส้น และผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ ขยายตลาด:“ดุกดี…ปลาดุกปลอดภัย”ช่วยเปิดตลาดใหม่ ทำให้สินค้าปลาดุกปลอดภัยเป็นที่รู้จักและได้รับความเชื่อถือมากขึ้น
ด้านสังคม เพิ่มการจ้างงานในพื้นที่: การขยายตัวของเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนสามารถสร้างงานให้กับคนในพื้นที่ได้มากกว่า 100 คน ช่วยลดอัตราการว่างงานและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและครอบครัว การกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม:การบริหารจัดการเครือข่ายแบบ Flow Supply Management ทำให้การกระจายรายได้เป็นธรรมระหว่างผู้เพาะพันธุ์ ผู้เลี้ยง และผู้แปรรูป ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและภาระหนี้สินของเกษตรกร
ด้านสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมี: การเลี้ยงปลาดุกปลอดภัยด้วยอัตราความหนาแน่น 25-30 ตัวต่อตารางเมตร ช่วยลดความเสี่ยงของโรคและการใช้ยาปฏิชีวนะ ทำให้น้ำในบ่อเลี้ยงมีคุณภาพดีขึ้นและลดการปล่อยน้ำเสียสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ การจัดการของเสีย: ส่งเสริมการใช้เศษอาหารและวัสดุเหลือใช้ในฟาร์มเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารปลาดุก ลดปริมาณขยะและต้นทุนอาหารปลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการดำเนินงานเกิดการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการจำนวน 18 กลุ่ม ในวงจรธุรกิจการเลี้ยงปลาดุกตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำในจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ คนเพาะเลี้ยงลูกพันธุ์ คนเลี้ยงปลาดุก คนรวบรวม คนแปรรูป และคนขาย ที่มีกลไกการเชื่อมโยง บนหนทางใหม่ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตลอดห่วงโซ่คุณค่า การสร้าง “ห่วงโซ่คุณค่าใหม่” (New Value Chain) สำหรับธุรกิจปลาดุกในจังหวัดปทุมธานี ไม่เพียงช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอาหาร แต่ยังสร้างความยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน ถือเป็นต้นแบบที่น่าศึกษาและต่อยอดสำหรับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของไทยในอนาคต #ดุกดี #ปลาดุกปลอดภัย #ปลาดุกรักษ์โลก #ปทุมธานี #
นางเศรษฐมณี ถิลา หัวหน้าสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ในนามของสภาเกษตรกรจังหวัดปทุมธานี ได้รับรู้เรื่องปัญหาเกษตรกรของพี่น้องเกษตรกรอาชีพรู้สึกปลาบปลื้มและยินดีมากที่มีหน่วยงานวิชาการเห็นความสำคัญและพัฒนาพื้นที่ของเกษตรกรของจังหวัดปทุมธานี ขอนำเรืยนปัญหาเกษตรกรพื้นที่เราการจัดการทำแผนพัฒนาเกษตรกร ปัญหาอับดับ 1 ของระดับต้นๆ คือปัญหาการร่วมกลุ่มเกษตรกรพี่น้องปทุมธานี ตามที่เราจัดทำแผนพัฒนาเกษตรกรจังหวัดปทุมธานี ปัญหาอันอันหนึ่งของเราคือการร่วมกลุ่มของพี่น้องเกษตรกรต่อเนื่องยั่งยืนซึ่งต่างกับจังหวัดอื่น ปัญหาหนี้สิน เรื่องน้ำเรารวมกลุ่มแล้วไม่สามารถที่จะไปต่อในระยะยาวและไม่มีความมั่นคงเมื่อเทียบกับจังหงวัดอื่นๆ อันดับที่สองก็คือ เรื่องดินเสื่อมโทรม และน้ำเค็มรุกล้ำ ทำให้เกษตรกรปลูกพืชยากขึ้นพร้อมปัญหาดินเสื่อมโทรมที่เกิดจากปัญหาอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวของชุมชนเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วสิ่งเหล่านี้การกำกัดของเสียยังไม่เข้าถึงและยังไม่ได้บังคับใช้กฎหมายยังไม่ทั่วถึงและก็ส่งผลกระทบถึงพี่น้องเกษตรกรที่นาปลูกต้นข้าวแต่ด้านข้างที่นามีน้ำเสียที่ไหลมาจากอุตสาหกรรมซึ่งเกษตรกรไม่มีใครจับมือแก้ปัญหาร่วมกันทำให้ปัญหาน้ำไม่มีคุณภาพน้ำสามเรื่องต้นๆ ก็จะเป็นปัญหาหลัก แต่การบริหารจัดสรรน้ำก็มีเพียงพอ ส่วนเรื่องที่สี่ก็คือปัญหาเรื่องหนี้สินเกษตรกรจำนวนคนเป็นหนี้น้อย แต่ยอดหนี้ก็อันดับต้นของประเทศ เนื่องจากเกษตรกรมีการลงทุนอาจจะเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่และใช้เงินเยอะเพราะใช้ในการกู้ยืมเงินก็จะเยอะ ปัญหาที่ห้าก็คือปัญหาผลผลิตที่ไม่ตอบโจยก์การลงทุนคือข้าวที่เราผลิตได้มีราคาตกต่ำรายได้ไม่พอกับที่เราลงทุนไป ส่งผลต่อสุขภาพทีได้ผลกระทบกระเทือนในนามของสภาเกษตรกรก็นำเรียนปัญหาพิจารณาหากหน่วยงานท่านใดต้องการที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเกษตรกรในส่วนของด้านอื่นๆ ก็ยังรอความช่วยเหลืออยู่
ขณะที่ตัวแทนสำนักงานประมงจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ทางมหาลัยฯที่นำบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่สนใจในกิจกรรมในการพัฒนาของเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรในกลุ่มปลาดุกเราจังหวัดปทุมธานีเรามีผลผลิตปลาดุกมากที่สุดในประเทศประมาณ 15%ปลาดุกเราอยู่จังหวัดปทุมธานีและมีพื้นที่เลี้ยงปลาดุกอันดับหนึ่ง และเป็นฟาร์มเพาะพันธุ์อันดับสองของประเทศ ในเรื่องของพันธุ์สัตว์น้ำ นอกจากปลาดุกจะเป็นผลผลิตหลักแล้วเรายังมีผลผลิตของปลาตะเพียนที่ผลิตได้เป็นอันดับสองของประเทศและปลาสวายที่เราผลิตได้เป็นอันดับสามของประเทศ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เป็นอู่ข้าว อู่น้ำ เป็นแหล่งผลิตที่เลี้ยงคนไทยทั้งประเทศของพันธุ์สัตว์น้ำจืดเป็นหลัก ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ทางมหาลัยวไลลงกรณ์เห็นความสำคัญและเห็นศักยภาพของพื้นที่และบุคคลากรของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสัตว์น้ำที่นี่และมาร่วมกันพัฒนาให้ทางกลุ่มได้เดินต่อไปได้ ในนามของสำนักงานก็ขอขอบคุณมาก
ด้านนายพรหมชัย กล่อมบาง อายุ 63 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงปลา กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิต หมู่ 8 กล่าวว่า ตนเองทำฟาร์มเลี้ยงปลากว่า 30 ปีเลี้ยงเป็นปลาเกร็ดและพึ่งได้มาปรับปรุงเลี้ยงปลาดุกได้ปีกว่าก็ดีขึ้นเพราะปลาดุกโตไวใช้เวลา 3-4 เดือน ปลาเกร็ดมันโตช้า ปลาดูกเราก็จับทำเป็นปลาดุกแดดเดียววันละกว่า 100 กิโลกรัม ทำกันเองขายเองในกลุ่มสมาชิกแม่บ้าน 21 คน สร้างรายได้ในครัวเรือนในชุมชน



