ตำรวจไซเบอร์จับมือกระทรวงความมั่นคงจีนหารือลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมืองเมียวดี เมื่อวันที่ 27 ม.ค.68 เวลา 10.00 -11.40 น. ณ ห้องสาทร ชั้น 2 อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เมืองทองธานี บช.สอท. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พร้อมผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ บช.สอท. ได้ร่วมให้การต้อนรับ Mr.Liu Zhongyi รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะผู้บริหารรวม 15 นาย เพื่อเข้าหารือและประสานความร่วมมือกับ บช.สอท. ในการจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในพื้นที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมาร์ . หลังการประชุมหารือ ทางกระทรวงความมั่นคงของจีนมีความยินดีร่วมมือกับตำรวจไทยเพื่อแก้ไขปัญหาในประเทศเพื่อนบ้าน โดยทางการจีนได้เสนอข้อตกลงร่วมกันจำนวน 6 หัวข้อ ได้แก่ 1. ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียวดี โดยส่งมอบข้อมูลนายทุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และขอความร่วมมือให้ไทยจับกุมหัวหน้าแก๊งที่อยู่ในประเทศไทยโดยเร็ว 2. ติดตามคดีหวังซิง โดยขอให้จับกุมผู้ต้องหาในขบวนการที่เหลืออีกกว่า 20 ราย และส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่จีน พร้อมขอบคุณตำรวจไทยที่ให้ความร่วมมือ 3. ช่วยเหลือผู้ถูกกักตัวในเมียนมา ขอให้ บช.สอท. ใช้การสืบสวนทางเทคนิคเพื่อพิสูจน์ทราบผู้ถูกกักตัวในพื้นที่ 3 จังหวัดของเมียนมา และกดดันให้มีการปล่อยตัวโดยเร็ว พร้อมชื่นชมมาตรการไทยที่ตัดไฟฟ้าในพื้นที่เมียวดี 4. ปิดช่องทางลำเลียงคนและสินค้า เพื่อป้องกันกลุ่มคนร้ายจากการใช้ช่องทางในการกระทำผิดและลดพื้นที่และทรัพยากรที่กลุ่มคนร้ายสามารถใช้ได้ 5. เพิ่มความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเตรียมจัดตั้งศูนย์ประสานงานป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีเจ้าหน้าที่สืบสวนจากทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกัน 6. เสริมประสิทธิภาพในการจับกุมคนร้ายในไทย แก้ปัญหาความกังวลของหลายประเทศเกี่ยวกับความปลอดภัยในไทย และยืนยันความร่วมมือในการสร้างความมั่นใจให้ประชาชน . ต่อมา ทาง บช.สอท. เอง ก็ได้เสนอข้อตกลงร่วมกันอีกจำนวน 4 ข้อ โดยสรุปได้ ดังนี้ 1.จัดตั้งชุดทำงานร่วมกัน ระหว่าง บช.สอท. และกระทรวงความมั่นคงของจีน (MPS) พร้อมแลกเปลี่ยนรูปแบบพฤติกรรมการหลอกลวงของคนร้าย 2.ปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยขอความร่วมมือจากจีนในการดำเนินการ โดยมุ่งเป้าที่กลุ่มบอสชาวจีนและผู้จัดการชาวไทยที่ทำงานร่วมกัน 3.ควบคุมการไหลออกของทรัพย์สิน โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์มักแปลงเงินเป็นคริปโตเคอเรนซี่และกลับมาเป็นสกุลเงินหลัก และขอให้ไทยและจีนแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อป้องกันการไหลออกของเงินผู้เสียหาย 4.จัดประชุมแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยขอให้จีนเป็นผู้นำในการจัดประชุมระดับภูมิภาค โดยเชิญประเทศเมียนมา ลาว กัมพูชา และไทยเข้าร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน . โดยบางส่วนในการหารือ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ได้กล่าวว่า “ขอขอบคุณถึงข้อเสนอของทางฝ่ายจีน ตลอดจนการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และวิดีโอที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตำรวจไซเบอร์พร้อมดำเนินการตามข้อเสนอของจีนทั้ง 6 ข้อ ในทันที ขอยืนยันว่าเราพร้อมในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทยและเพื่อนบ้านอย่างจริงจังและจริงใจ โดยในเรื่องเกี่ยวกับการตัดสัญญาณ การตั้งศูนย์ช่วยเหลือการตัดทรัพยากรทางตำรวจไซเบอร์จะนำเสนอกับหน่วยเหนือเพื่อดำเนินการปฏิบัติให้เกิดผลต่อไป” . Mr.Liu Zhongyi รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่า บช.สอท. เป็นหน่วยงานสำคัญ และเป็นหน่วยงานแรก ที่ข้าพเจ้ามาขอหารือด้วย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียวดีได้ทำร้ายร่างกายคนจากหลายประเทศ ตอนนี้พบว่ามี 36 กลุ่มแก๊งคนจีนที่สำคัญ และมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 1 แสนคน ปัจจุบันมีประชาชนชาวจีนถูกหลอกไปทำงานจำนวนมาก และถูกทำร้ายร่างกาย และเสียชีวิต คดีของหวังซิง ทำให้นักท่องเที่ยวมีคำถามกับความมั่นใจในความปลอดภัยของไทย ทำให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทยมีจำนวนลดลง และมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศอีกจำนวนมากที่กังวล เกิดภาพลักษณ์เชิงลบต่อไทย ในการรับมือกับสถานการณ์ที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ทางเราทราบว่าไทยพยายามป้องกันปราบปราม ซึ่งหน่วยงานต่างๆ มีการลาดตระเวนกับกองทัพไทยในพื้นที่สำคัญด้วย” . “ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอท่านทั้ง 4 ข้อ ทำให้เรารู้ว่าทางไทยนั้นเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกเกือบทุกประเทศ ได้รับผลกระทบจากคอลเซ็นเตอร์ไปแล้ว โดยมีสถิติว่าทั่วโลกมีความเสียหายจะเป็น 10 กว่าล้านล้าน ดอลล่าร์แล้ว” . “วันนี้ท่าน ผบช.สอท. รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่แนะนำข้อมูลให้เรา ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าประเทศไทยมีพื้นฐานความรู้ที่สมบูรณ์มากในการประสานความร่วมมือ ซึ่ง บช.สอท. เป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพมากในการป้องกันปราบปราม ข้าพเจ้าเชื่อว่าความร่วมมือจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ซึ่งข้าพเจ้าหวังว่าความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันปราบปรามจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่สำคัญ โดยเริ่มต้นจากประเทศจีนและประเทศไทยก่อน และค่อยๆ ขยายไปประเทศเพื่อนบ้านและทั่วโลก” Mr.Liu Zhongyi กล่าว