ปอท. Lockstar Season 2 ขยายผลจับมือขวาไฮโซน้ำแข็ง หลังสร้างแอปฯปลอมหลอกคนลงทุน รวมความเสียหายกว่า 23 ล้าน เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นจับกุม นําโดย พ.ต.อ. ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท., พ.ต.ท.ภัททสักก์ ธนสุกาญจน์, พ.ต.ท.เอกพล แสงอรุณ รอง ผกก.1 บก.ปอท., พ.ต.ท.ปิยเดช แก้วแฝก, พ.ต.ท.อารัติ พายทอง, พ.ต.ท.เอกคณิต เนตรทอง, พ.ต.ท.พรเสกข์ เชาวสันต์, พ.ต.ต.หญิง หทัยชนก อินทรวิจิตร, พ.ต.ต.เริงศักดิ์ อุปลา สว.กก.1 บก.ปอท., ร.ต.อ.ดุสิต ยอดหวิด, ร.ต.อ.ทัศพงษ์ ผ่องใส, ร.ต.อ.กษิดิศ ดิลกคุณานันท์ ,ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ ตาแว่น, ร.ต.อ.ปฏิญญา สงวนศักดิ์เกสร, ร.ต.ท.นันทนคร บุรี รอง สว.กก.1 บก.ปอท. และเจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.1 บก.ปอท. ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา กลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเครือข่ายหลอกลงทุนออนไลน์ ไฮบริดสแกม (Hybrid Scam) ตั้งแต่ ระดับหัวหน้าเครือข่ายที่มีหน้าที่ควบคุมสั่งการศูนย์ปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คนที่ดูแลเรื่องฟอกเงิน และ คนรับจ้าง เปิดบัญชีม้า เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 13 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร เชียงราย ระยอง ภูเก็ต จับกุมผู้ต้องหาได้ จํานวน 13 ราย ดังนี้ 1. MS.WANG หรือ หวัง (สัญชาติจีน) อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 768/2567 ลง 11 พ.ย.67 ทําหน้าที่ระดับสั่งการ / รับผลประโยชน์ 2. น.ส.ทิพวัลย์ฯ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 767/2567 ลงวันที่ 11 พ.ย.67 ทําหน้าที่กลุ่ม บริหารจัดการ / แปรสภาพทรัพย์สิน 3. นายกิตติคุณฯ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ 766/2567 ลงวันที่ 11 พ.ย.67 ทําหน้าที่ระดับสั่ง การ / รับผลประโยชน์ 4. น.ส.อภิญญาฯ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.447/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่เปิด บัญชีม้า 5. นายศุภัชฯ อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.448/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่เปิดบัญชี ม้า 6. น.ส.รักษิณาฯ อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.452/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่เปิด บัญชีม้า 7. น.ส.บุณฑริกาฯ อายุ 18 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.455/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่เปิด บัญชีม้า 8. น.ส.ทรายฯ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.456/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่เปิดบัญชี ม้า 9. นายกรัณภัทรฯ อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.459/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่เปิด บัญชีม้า 10. น.ส.คณุตราณัฐฯ อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.461/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่ เปิดบัญชีม้า 11. นายบุย (MR.BUI) อายุ 56 ปี สัญชาติเวียดนาม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.465/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่เปิดกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลรับโอนผลประโยชน์ 12. นายหวัง (MR.WANG) อายุ 32 ปี สัญชาติสิงคโปร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.468/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่เปิดกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลรับโอนผลประโยชน์ 13. น.ส.มยุเรศฯ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.472/2567 ลงวันที่ 17 ก.ค.67 ทําหน้าที่เปิด บัญชีม้า เพื่อดําเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบกันโดยการตกลง กันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ใด้มีการสมคบ กัน และร่วมกันฟอกเงิน”” สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.1 บก.ปอท. ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงให้ลงทุน โดย มีการโพสตข์้อความสาธารณะลักษณะชักชวนให้เข้าไปลงทุนในเงินสกุลดิจิทัล(Cryptocurrency)ผ่านเว็บไซต์ชื่อTidexซึ่ง เป็นแอปพลิเคชันที่ปลอมขึ้นมาทั้งหมด (มีความคล้ายกับแอปพลิเคชันเทรดเหรียญดิจิทัลของจริงที่ชื่อว่า Tidex) โดยเสนอให้ ผลตอบแทนสูง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินไปลงทุน โดยผู้เสียหายได้โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของกลุ่มคนร้าย จํานวน 17 ครั้ง รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นกว่า 22.4 ล้านบาท ต่อมาพบว่าไม่มีการลงทุนจริง เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.1 บก.ปอท. จึงได้ประสานข้อมูลการรับแจ้งมายังศูนย์ AOC พบว่ามีผู้เสียหายหลงเชื่อและทําการโอน เงินเพื่อลงทุนตามประกาศโฆษณาในเพจดังกล่าว และได้รับความเสียหายหลายราย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าปัจจุบัน เว็บไซต์ปลอมได้ปิดเว็บไซต์ไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.1 บก.ปอท. ร่วมกับ อสส. และ ปปง. ทําการสืบสวนเส้นทางการเงิน และเส้นทางของเหรียญดิจิทัล จน ทราบตัวผู้กระทําความผิด จึงเปิดปฎิบัติการ “Lock Star รวบนักธุรกิจเบื้องหลังเครือข่าย Call Center” สามารถจับกุม ผู้ต้องหาซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเครือข่ายหลอกลงทุนออนไลน์ ไฮบริดสแกม (Hybrid Scam) ตั้งแต่ระดับ หัวหน้าเครือข่ายที่มีหน้าที่ควบคุมสั่งการศูนย์ปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และคนที่ดูแลเรื่องฟอกเงิน เป็นชาวจีนและ ชาวไทย จํานวน 6 ราย และสามารถตรวจยึดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบ เป็นของมีค่าจํานวนหลายรายการ รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท จากการขยายผลตรวจสอบข้อมูลพบบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง และเชื่อมโยงกับกลุ่มคนร้ายพบผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ โดยสามารถจับกุม ผู้ร่วมขบวนการเป็นชาวต่างชาติและชาวไทย ซึ่งเป็นกลุ่มระดับสั่งการ, ผู้บริหารดูแลเรื่องฟอกเงิน รับผลประโยชน์ และ คน รับจ้างเปิดบัญชีม้า สรุปแล้วรวมทั้งสอง season สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งสิ้นจํานวน 19 ราย ประกอบด้วยชาวจีน 3 ราย ชาวเวียดนาม 1 ราย ชาวสิงคโปร์ 1 ราย และชาวไทย 14 ราย จากนั้นนําตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป จากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นจับกุม ตรวจยึดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบ เป็นของมีค่าจํานวนหลายรายการ อาทิ เช่น บ้านหรู จํานวน 1 หลัง มูลค่ากว่า 7 ล้านบาท, รถยนต์ จํานวน 2 คัน มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท, โฉนดที่ดิน จํานวน 4 ใบ มูลค่ากว่า 9 แสนบาท และ หุ้น ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จํานวน 10,000 หุ้น มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท รวมมูล ทรัพย์สินทั้งหมดค่ากว่า 14 ล้านบาท นอกจากนี้จากการตรวจสอบสถิติรับแจ้งความออนไลน์จากระบบ Thai Police Online ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค.-พ.ย.67) พบว่ามีคดีที่รับแจ้งทั้งหมด 55,818 ราย แยกเป็นคดีเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ Call Center รับแจ้งจํานวน 25,624 ราย (45%) มูลค่าความเสียหายรวม 3,534 ล้านบาท (72%) คิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเคส 138,043 บาท จากการตรวจสอบประเภทที่มีผู้เสียหายมากที่สุดหลอกโอนเงินเพื่อทํางานพิเศษหรือรับรางวัล 10,054 ราย ซึ่งประเภทที่ มีมูลค่าความเสียหายสูงที่สุด คือการหลอกลงทุน มีมูลค่าความเสียหายรวม 1,273 ล้านบาท ซึ่งเป็นประเภทคดีที่มี ค่าเฉลี่ยต่อเคสสูงสุดอีกด้วย คือ จํานวน 376,502 บาทต่อเคส หากแยกเป็นรายแพลตฟอร์ม พบว่าช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวงผู้เสียหายมากที่สุด คือ ช่องทางโทรศัพท์ คิด เป็น 43.8% ส่วนสื่อสังคมออนไลน์ที่คนร้ายใช้หลอกผู้เสียหายมากที่สุด คือ Facebook คิดเป็น จํานวน 39 % สําหรับการดําเนินการของศูนย์ AOC ภายใต้การดําเนินงานของกองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง (CIB) นั้น ได้มีการ ดําเนินการในทุกมิติ โดยมีการประสานกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อปิดกั้นช่องทางของคนร้ายในการ หลอกลวงผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย โดยได้ดําเนินการปิดกั้น URL ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การ แอบอ้างเป็นผู้มีเชื่อเสียง หน่วยงานรัฐ, องค์กรเอกชน หรือ แม้กระทั่งแอบอ้างเป็นหน่วยงานที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง เพื่อหวัง ข้อมูลหรือทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2566 ถึง 1 ธ.ค.2567 ศูนย์ AOC กองบัญชาการตํารวจสอบสวน กลาง (CIB) มีการปิดกั้นลิงก์รวมแล้วจํานวนกว่า 24,463 URL นอกจากนี้ ตํารวจสอบสวนกลาง (CIB) ก็ได้มีการดําเนินการเชิงรุกโดยเป็นตัวกลางในการรับเบาะแสจากประชาชนเพื่อนํามา ประสานกับหน่วยงานรัฐ และเอกชนเจ้าของแพลตฟอร์มต่างๆ โดยการเปิดช่องทางรับแจ้งเบาะแสของมิจฉาชีพออนไลน์ รูปแบบต่างๆ โดยให้ประชาชนช่วยแจ้งเบาะแสเข้ามาผ่านเว็บไซต์ https://www.cib.go.th/e-service โดยแบ่งการรับแจ้ง เบาะแสเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้ 1.รับแจ้งเบาะแส “ถูกมิจฉาชีพแอบอ้าง เป็นบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น” 2.รับแจ้งเบาะแส “SMS หลอกลวง” ซึ่งข้อมูลที่ประชาชนแจ้งเข้ามาตํารวจสอบสวนกลาง (CIB) จะนําไปประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปิดกั้นช่องทาง หลอกลวงของมิจฉาชีพ รวมถึงเป็นข้อมูลในการสืบสวน วิเคราะห์ข้อมูลและขยายผลเพื่อนําไปสู่การจับกุมขบวนการมิจฉาชีพ ในอนาคต และเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถช่วยลดความเสียหายจากมิจฉาชีพออนไลน์ลงได้














