เหยื่อกระบะเฉี่ยวชนหวิดเจ้าชายนิทรา เจรจาเรียกชดใช้ 7 แสน คู่กรณีลั่น ขอเป็นไปตามกระบวนการศาล
///////
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 3 สิงหาคม ที่สน.ท่าข้าม
น.ส.อำนวยพร มณีวรรณ์ ทีมทนายคลายทุกข์ พา
นายเอ (นามสมมติ) (สันติสุข ตามธรรม) อายุ 17 ปี พนักงานร้านสะดวกซื้อ และครอบครัว เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.อนุศิษฏ์ จงจีรังทรัพย์ สว.(สอบสวน) สน.ท่าข้าม เพื่อเจรจาเรียกร้องให้ นายบี (นามสมมติ) อายุ 46 ปี คู่กรณีที่ขับรถกระบะเฉี่ยวชน ทำให้นายสันติสุขบาดเจ็บสาหัส เลือดคั่งในสมอง กระดูกหักหลายจุด จนเกือบกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้ ค่าเสียหายจากการสูญเสียอวัยวะที่ไม่สามารถใช้งานได้ และค่าทรัพย์สินเสียหาย รวม 7 แสนบาท
นายเอ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตนขี่รถจักรยานยนต์อยู่บริเวณหน้าศาลเจ้าแม่กวนอิม ถนนชายทะเล ซึ่งตนขี่
ช่องทางซ้ายสุด ส่วนรถกระบะคู่กรณีอยู่ช่องทางกลาง และเบียดเข้ามาชนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ทำให้ตนเองกระเด็นไปกระแทกกับล้อรถกระบะ ก่อนจะหมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมา แพทย์ได้แจ้งว่ากระดูกซี่โครงหัก แขนผิดรูป และขาต้องกายภาพบำบัด ส่วนสมองผ่าตัดไปแล้ว 1 ครั้ง
ขณะที่ นางบุญช่วย ตามธรรม อายุ 55 ปี แม่ของนายสันติสุข เปิดเผยว่า หลังได้รับแจ้งจากที่ทำงานว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุ ก็รีบไปโรงพยาบาลทันที แพทย์แจ้งว่าลูกชายโอกาสรอดเพียง 10% ต้องผ่าตัดสมองด่วน เพราะมีเลือดคั่งในสมอง สมองบวม หลังผ่าตัดเสร็จ หมอแจ้งว่ามีโอกาสถึง 80% ที่จะเป็นเจ้าชายนิทรา รวมถึงอาจต้องมีการผ่าตัดสมองรอบที่ 2 หากอาการสมองบวมกลับมา และอาจทำให้ร่างกายลูกชายรับไม่ไหว อีกทั้งยังมีโอกาสเสียชีวิตขณะผ่าตัดสูง ซึ่งลูกชายต้องนอนไอซียูถึง 1 เดือน แต่ถือว่ายังมีปาฏิหาริย์ที่ฟื้นกลับมา แต่ร่างกายก็ยังไม่สมบูรณ์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาบน้ำหรือทานอาหารเองไม่ได้ พ่อและแม่ต้องหยุดงานมาดูแล ซึ่งลูกชายก็ไม่สามารถไปเรียนหรือไปทำงานได้ ทั้งที่ลูกชายทำงานเพื่อนำเงินมาใช้เป็นค่าเล่าเรียน
นางบุญช่วย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ หลังเกิดเรื่องคู่กรณีรถกระบะไม่เคยติดต่อมารับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล มีแต่ตนที่ติดต่อไป โดยลูกชายมีค่ารักษาพยาบาลกว่า 8 แสนบาท แต่เบิกประกันสังคมได้ส่วนหนึ่ง จึงเรียกค่าเสียหายไป 7 แสนบาท เพราะมองว่าเป็นอาการเกี่ยวกับสมอง อนาคตอาจต้องผ่าตัดอีก และอาจทำให้ไม่สามารถกลับไปเรียน ทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ แต่คู่กรณีปฏิเสธว่าไม่มีเงินอย่างเดียว ไม่เคยเสนอเงินที่จะสามารถจ่ายให้ได้ ตนเองจึงบอกคู่กรณีถึงเรื่องการฟ้องร้อง ซึ่งอีกฝ่ายก็พูดแค่ว่าตนจะทำอะไรก็ทำไปเลย และตัดบทบอกมีธุระ
ด้าน นายบี กล่าวยืนยันว่า หลังเกิดเหตุภรรยาของตนได้โทรแจ้งให้รถพยาบาลมาช่วยเหลือ ไม่ได้หลบหนี และยังขอให้ประชาชนในบริเวณใกล้เคียงตามรถกู้ภัยมาช่วย เมื่อผู้ได้รับบาดเจ็บไปโรงพยาบาลแล้ว ตนเองก็ตามไปโรงพยาบาลและอยู่ดูอาการถึง 03.00 น. จากนั้นตนเองก็ยังติดตามอาการตลอด และเคยแจ้งทางแม่ของผู้ได้รับบาดเจ็บไปแล้วว่าจะช่วยค่าเดินทางเบื้องต้น 5,000 บาทไปก่อน แต่อีกฝ่ายปฏิเสธ และที่เรียกเงินถึง 7 แสนบาทนั้นก็มากเกินไป เพราะสถานการณ์ครอบครัวของตนเองก็ย่ำแย่ รถกระบะก็ถูกยึดไปแล้ว ตนเองไม่สามารถหาได้ หากต้องการจะเรียกเงินจำนวนดังกล่าว ขอให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล
นายบี กล่าวอีกว่า ส่วนตอนแรกที่ตนเองไม่ยอมรับว่าขับชน เพราะไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวชนที่กระบะ จึงมั่นใจว่าไม่ได้ชน แต่เมื่อเจ้าหน้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบ จึงทราบว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากที่พักเท้ารถจักรยานยนต์ไปเกี่ยวกับล้อรถของตนเอง ที่เอียงเข้าไปยังช่องทางของผู้เสียหายแค่ประมาณ 10-15 องศาเท่านั้น ไม่ใช่การเฉี่ยวชน
ด้าน น.ส.อำนวยพร กล่าวว่า การไกล่เกลี่ยวันนี้ยังตกลงค่าเสียหายกันไม่ได้ แต่คู่กรณียอมรับว่าประมาทจริง และเนื่องจากเป็นความผิดฐานขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นตำรวจจะนัดสหวิชาชีพมาสอบปากคำผู้ได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นเยาวชนในวันเสาร์นี้ ก่อนจะมีการนำตัวผู้ขับรถกระบะส่งฟ้องต่อศาลต่อไป ซึ่งค่าเสียหายก็จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลในการพิจารณา
////////