ทนายไพศาล พา “บอล เชิญยิ้ม – เจนนี่” แสดงความบริสุทธิ์ใจ เคยรับงานไลฟ์สดกับ “แม่ตั๊ก” ยันยินดีคืนเงินค่าตัวเยียวยาผู้เสียหาย
วันที่ 2 ต.ค. เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์
พา นายชัชชัย จำเนียรกุล หรือ “บอลเชิญยิ้ม” ,น.ส.รัชนก สุวรรณเกตุ หรือ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” และ บิ๊ก ธิติวุฒิ วารุณ หรือ “ผู้ใหญ่บ้าน ฟินแลนด์” เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังเคยร่วมงานกับ “แม่ตั๊ก” น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด พร้อมกับนำทรัพย์สินมีค่าที่เคยได้รับจาก แม่ตั๊กและป๋าเบียร์ ส่งมอบให้กับตำรวจตรวจสอบที่มาและเส้นทางการเงิน ว่าได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่
โดยเจนนี่ กล่าวว่า หลังพฤติกรรมของแม่ตั๊กถูกแฉ ตนเองก็ถูกกระแสโซเชียลมีเดียถล่มอย่างหนัก จึงอยากออกมาเคลียร์ทุกอย่างโดยเร็วที่สุด แต่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ออกมาเคลื่อนไหว เพราะยังติดสัญญาพรีเซนเตอร์อยู่ กลัวว่าจะผิดสัญญา และแม้จะรู้จักกันมานานเนื่องจากเป็นคนใต้ด้วยกัน และเขาก็เล่าถึงชีวิตที่ลำบากเคยขายของตลาดนัดสู้ชีวิตมาจนร่ำรวย จึงเชื่อโดยสนิทใจมาตลอดว่าแม่ตั๊กร่ำรวยจริง แต่หลังเกิดเรื่อง ก็ได้นำทรัพย์สินเป็นกำไลที่ได้รับมาจากแม่ตั๊ก มาให้ตำรวจตรวจสอบว่าเงินที่นำมาซื้อกำไลนี้ เป็นเงินบริสุทธิ์ หรือเป็นเงินผิดกฎหมาย หากเป็นเงินผิดกฎหมาย ตนเองก็ยินดีที่จะคืนทรัพย์สินเหล่านี้
ขณะที่ บอล เชิญยิ้ม กล่าวว่า แม้ไม่อยู่ในรายชื่อดาราที่ร่วมไลฟ์ขายทองกับแม่ตั๊ก แต่ก็เคยร่วมงานไลฟ์ อาหารเสริมของแม่ตั๊ก เคยไปร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และงานคอนเสิร์ต ช่วงปี 2565 ตนเองจึงไม่อยากอยู่เฉย ขอออกมาแสดงความบริสุทธิ์ พร้อมยืนยันไม่ได้สนิทสนมกับแม่ตั๊กนอกเหนือจากงานที่รับ ไม่มีไปกินข้าวกันเป็นการส่วนตัว และไม่เคยรับสิ่งของอื่นใดนอกจากค่าตัวครั้งละ 1 แสนบาท และที่ยอมรับงานไลฟ์ ก็เพราะพิจารณาแล้วว่ามีคนเคยไปร่วมไลฟ์จำนวนมาก จึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และพร้อมจะคืนเงินค่าตัวที่ได้ทั้งทั้งหมด เพื่อให้นำเงินดังกล่าวไปเยียวยาผู้เสียหาย
ผู้ใหญ่บ้าน ฟินแลนด์ กล่าวว่า ตนเคยรับงานแม่ตั๊กแค่ 2 ครั้ง อาหารเสริม ล่าสุดไลฟ์ร้านทอง เห็นว่าร้านทองมีจริง ไปตามหน้าที่จบงานแล้วกลับเลย ได้ค่าตัว ชั่วโมงละ 1.5 แสนบาท ทำหน้าที่เป็น ตัวประกอบไม่ได้ร่วมขายทองแต่อย่างใด ไปรับชมความมั่งคั่งของเขา
ด้าน ทนายไพศาล กล่าวว่า กรณีร้านทองแม่ตั๊กนั้น หาก อินฟูฯ หรือดารา นักร้องคนใดเข้าไปร่วมไลฟ์สดขายของหรือเกี่ยวข้องด้วยให้มาแสดงความบริสุทธิ์ใจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร็วที่สุดอย่ารอหมายเรียกเดี๋ยวเรื่องจะยาว อย่างไรก็ตามวันนี้ทั้งสามท่านได้นำหลักฐานซึ่งเป็นเงินที่ได้มาจากแม่ตั๊กจ้างมาให้ตรวจสอบ ซึ่งเงินในส่วนนี้เขารับมาโดยสุจริต ไม่รู้เรื่องหลอกขายทอง และขอ ยืนยันว่าไม่รู้จริงๆ ถ้ารู้คงไม่รับงานแน่นอน
วันเดียวกัน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำพยานหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ 8 คลิป ของ “เจ๊นุช” มือขวาของ อ”แม่ตั๊ก” ที่ร่วมไลฟ์สดโฆษณาเกินจริงเกี่ยวกับอาหารเสริมลดน้ำหนัก และการโชว์ทรัพย์สินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรู และรถหรู รวมมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ไปมอบให้พนักงานสอบสวน บก.ปคบ. เพื่อขอให้ตำรวจดำเนินคดีและขออนุมัติศาลออกหมายจับ “เจ๊นุช” ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ , ร่วมกันเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ , และร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค รวม 4 ข้อหา
โดยนายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า “เจ๊นุช บางเตย” ได้ร่วมกับ “แม่ตั๊ก” ในการทำคอนเทนต์โชว์ทรัพย์สินและเงินต่างๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และได้รับผลประโยชน์เป็นทรัพย์สินต่างๆ รวมกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มแกนนำที่ร่วมกระทำความผิด จึงนำหลักฐานมายื่นให้ตำรวจดำเนินคดี อย่างไรก็ตามทุนที่แม่ตั๊กและป๋าเบียร์ นำมาซื้อทรัพย์สิน ไม่ได้เกิดจากการค้าขายทั้งหมด แต่มาจากธุรกิจมืดของตำรวจ
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมขบวนการที่ต้องถูกดำเนินคดีอีกกว่า 20 คน ไม่รวมกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ที่ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจในการพิจารณารายบุคคลถึงเจตนา ส่วนสัปดาห์หน้าตนเองจะนำหลักฐานการกระทำความผิดของ “เจ๊หรั่ง” มือซ้ายของแม่ตั๊กไปมอบให้พนักงานสอบสวน พร้อมทั้งจะเดินทางไปร้องเรียน ปปง. เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินและดำเนินคดีกับกลุ่มของแม่ตั๊ก ตามพ.ร.บ.ฟอกเงิน ฐานร่วมกันฟอกเงิน
นายอัจฉริยะ กล่าวอีก อยากฝากไปถึงพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร.ให้ออกคำสั่งรวมคดีแม่ตั๊กกับพวกทุกคดี ที่มีผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ทั่วประเทศ ไปรวมที่ บก.ปคบ. เพื่อให้ประชาชนสามารถแจ้งความในภูมิลำเนาของตนเองได้ รวมถึงกรณีทรัพย์สินของแม่ตั๊ก ไม่ว่าจะเป็นตู้เซฟและรถหรูที่หายไป ก็มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่หนุนหลัง และมีคดีที่ยังไม่ค้างคาอยู่ที่ ปปง. ดังนั้นขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติออกมาเร่งรัดคลี่คลายเรื่องนี้












