ตำรวจทางหลวงสกัดรถพ่วงขนยาบ้ากว่า 13 ล้านเม็ด
มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน มุ่งหน้าลงใต้ ก่อนส่งออกประเทศที่สาม
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป.ช่วยราชการ บก.ทล., พ.ต.อ.ภคพล สุชล ผกก.2 บก.ทล. และ พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป. ได้มอบหมายให้
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ต.พุทธางกูร เรืองธรรม สว.ส.ทล.3 กก.2 บก.ทล., ร.ต.อ.เวิน ไชยอาษา รอง สว.ส.ทล.3 กก.2, ด.ต.ปัญญา สุพล ผบ.หมู่ ส.ทล.3 กก.2 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงรวม 8 นาย
จับกุมตัว
1. นายอมรฯ อายุ 51 ปี (ทำหน้าที่เป็นผู้ขับขี่รถพ่วง)
2. นายวีระพงศ์ฯ อายุ 39 ปี (ทำหน้าที่บอกทางคนขับ)
พร้อมด้วยของกลาง
1. ยาบ้าชนิดเม็ดสีส้ม ด้านหนึ่งมีตัวอักษร WY จำนวประมาณ 13,000,000 เม็ด และยาบ้าชนิดเม็ดสีเขียว ด้านหนึ่งมีรูปแอปเปิ้ล จำนวน 130,000 เม็ด ทั้งหมดถูกห่อเป็นมัดบรรจุอยู่ในตะกร้าพลาสติก จำนวน 65 ตะกร้า (รวมยาบ้าทั้งสิ้น จำนวน 13,130,000 เม็ด)
2. รถบรรทุกพ่วงเทรลเลอร์ 22 ล้อ ทะเบียน จ.สงขลา จำนวน 1 คัน
3. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง
สืบเนื่องจากนโยบายของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และ พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล. ที่ได้มอบหมายให้ตำรวจทางหลวงเข้มงวดกับการปราบปรามอาชกรรมบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามการลักลอบขนยาเสพติดบนถนนหลวง โดยในปีงบประมาณ 2567 (ระหว่าง ต.ค.66 – ส.ค.67) บก.ทล.ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดไปแล้ว 1,569 คน สามารถตรวจยึดยาเสพติดของกลาง เป็นยาบ้า 119,266,779 เม็ด, เคตามีน 568 กิโลกรัม, ยาไอซ์ 471 กิโลกรัม และ เฮโรอีน 127 กิโลกรัม
โดยเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 เวลาประมาณ 13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ ได้ตั้งด่านกวดขันวินัยจราจรเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและปราบปรามอาชญากรรมบนท้องถนน บริเวณ ถ.เพชรเกษม ขาล่องใต้ กม.378 อ.บางสะพาน
ต่อมาเวลาประมาณ 13.30 น. ได้มีรถบรรทุกพ่วงเทรลเลอร์ ทะเบียน จ.สงขลา ด้านหลังบรรทุกลังพลาสติก ลักษณะวางเรียงเป็นแนวยาวตามตัวรถคลุมผ้าใบสีดำ ขับขี่เข้ามาในด่าน
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ารถพ่วงคันดังกล่าวไม่มีบังโคลนและยังพบว่ามีการติดตั้งแตรลม ซึ่งความผิดตาม พ.ร.บ.ขนส่งฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจึงเรียกให้หยุดและขอตรวจสอบใบอนุญาตขับขี่จากผู้ขับขี่ พบว่า ชื่อ นายอมร(สงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี ในขณะที่ นายอมรฯ ยื่นใบอนุญาตขับขี่ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง สังเกตุเห็นว่ามีอาการเหงื่อแตก มือสั่น เสียงสั่น เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง จึงได้เรียกให้ นายอมรฯ ลงมาจากรถ เพื่อขอตรวจสอบสิ่งของที่บรรทุกมา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่ารถบรรทุกพ่วงคันดังกล่าวมีการลักลอบขนส่งสิ่งของผิดกฎหมายมาด้วย
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงเปิดผ้าใบคลุมสิ่งของที่บรรทุกมาก็พบว่าเป็นตระกร้าพลาสติก สำหรับใส่ผักผลไม้ แต่เมื่อเข้าตรวจค้นแล้ว พบว่าเป็นมัดยาบ้าห่อสีเหลือง เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว นายอมรฯ ไว้ทันที
และในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงพบว่า ภายในรถยังมีผู้โดยสารอีกหนึ่งคนหลบซ่อนอยู่ ได้เปิดประตูวิ่งลงมาจากรถพ่วงคันดังกล่าวเพื่อพยายามหลบหนีการจับกุม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้วิ่งติดตามไปอย่างกระชั้นชิดจนสามารถสามารถรวบจับตัวได้
ทราบชื่อต่อมา คือ นายวีระพงศ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคนขับ คอยบอกทางและติดต่อสื่อสารกับผู้ว่าจ้าง
จากการตรวจนับของกลางเบื้องต้น พบว่าบนรถบรรทุกพ่วงมีตะกร้าพลาสติกที่บรรจุยาบ้า ทั้งหมด 65 ตะกร้า จึงควบคุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พร้อมกับรถของกลางกลับมาตรวจสอบที่สถานีตำรวจทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ ประสานตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าเก็บหลักฐาน DNA กลุ่มคนร้ายที่มัดยาบ้า และจากการตรวจนับ พบว่ายาบ้าทั้งหมดมี ประมาณ 13,130,000 เม็ด
จากการซักถามเบื้องต้น นายอมรฯ และ นายวีระพงศ์ฯ ให้การรับสารภาพว่า ทั้งสองทำหน้าที่รับจ้างขนยาเสพติดล็อตดังกล่าว มาจากพื้นที่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี เพื่อนำไปส่งในพื้นที่ อ.ทุ่งส่ง จ.นครศรีธรรมราช จากนั้นก็จะมีคนมาคอยรับต่อไปอีกช่วงหนึ่ง โดยจะได้รับจ้างในการขนยาเสพติดเที่ยวละ 200,000 บาท ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่รับจ้างขนยาเสพติดล็อตใหญ่ลักษณะนี้ประกอบกับการพูดคุย นายอมรฯ และ นายวีระพงศ์ฯ มีอาการคล้ายคนเสพยาเสพติด
เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายไปทำการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะ ผลการตรวจพบสารเสพติดอยู่ในร่างกายของผู้ต้องหาทั้งสองคน ทำให้ นายอมรฯ และ นายวีระพงศ์ฯ จะต้องถูกดำเนินคดีใน ข้อหา “ขับรถในขณะมีสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) อยู่ในร่างกายโดยผิดกฎหมาย และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย” อีกข้อหาหนึ่งด้วย จากนั้น นำตัวผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติดของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป