สอบสาวแสบลงทุนปุ๋ยทิพย์ เจ้าตัวยังปฏิเสธ ตร.จ่อฝากขังค้านประกันตัว พร้อมเร่งตรวจปุ๋ย-เส้นทางการเงิน
///////
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 กรกฎาคม ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปคบ. เบิกตัว นางนาฎศิลป์ เรืองแสน อายุ 56 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1422/2565 ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ออกจากห้องขังกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) มาสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ภายหลังถูกจับกุมที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากการชักชวนผู้เสียหายหลายรายร่วมลงทุนบริษัทผลิตปุ๋ย มูลค่าความเสียหายกว่า 15 ล้านบาท โดยนางนาฎศิลป์ มีสีหน้าเรียบเฉย และไม่ตอบคำถามของสื่อมวลชน เพียงแค่ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำการหลอกลวงลงทุนปุ๋ยหรือมีการแอบอ้างเบื้องสูงแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียหายมาสังเกตุการณ์การสอบปากคำอีกด้วย
ด้าน เสื้อเขียว นาย ดร.อรรณพ วรวานิช อายุ 50 ปี
เปิดเผยว่า เดิมทีตนรับจ้างในเรื่องงานแสดง จนกระทั่งบริษัทผู้ต้องหาได้ว่าจ้างตนให้จัดงานสัมมนาชักชวนให้ประชาชนมาสมัครเป็นสมาชิกบริษัทปุ๋ยและจะได้สิทธิพิเศษ เช่น ทองคำ รถประจำตำแหน่ง บัตร สำหรับใช้ซื้อสินค้า โดยมีวงเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งไม่มีอยู่จริง แต่เป็นการไปแอบอ้างอ้างถ่ายภาพตามร้านทอง โชว์รูมรถ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ รวมถึงการแอบอ้างเบื้องสูง จึงขอฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ตรวจสอบว่ามีการแอบอ้างจริงหรือไม่ ซึ่งสุดท้ายทางบริษัทก็ไม่จ่ายค่าจ้างจัดงานสัมมนา ตนจึงเป็นคนกลางรวบรวมผู้เสียหาย มีผู้เสียหายมาแจ้งตนเองแล้วกว่า 40 คน มูลค่าเสียหายกว่า 2 ล้านบาท แต่หากรวมกับผู้เสียหายทั่วประเทศแล้วจะยังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมาก และกำลังมีการชักชวนที่ภาคใต้ผ่านผู้นำทางศาสนา ส่วนปุ๋ยของผู้ต้องหานั้นที่ผ่านมาไม่ได้ให้ปุ๋ยจริงตามที่กล่าวอ้าง แต่ภายหลังได้มีการนำปุ๋ยคนละยี่ห้อมาให้แทน ส่วนทองคำและรถยนต์ประจำตำแหน่งนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่ได้ทองหรือรถจริง โดยจะเป็นผู้ที่หาสมาชิกได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทางผู้ต้องหาไม่ได้ก่อคดีครั้งนี้เป็นครั้งแรก ตนก็เป็นกังวลว่าผู้ต้องหาจะได้รับการประกันตัว อย่างไรก็ตาม โครงการของผู้ต้องหาถือเป็นโครงการที่ดี หากสามารถทำจริงได้ และอยากฝากถึงผู้เสียหายรายอื่น ว่าตั้งแต่ร่วมลงทุนนั้นได้รับอะไรจริงหรือไม่
ขณะที่ น.ส.รวิกานต์ รักษายศ อายุ 43 ปี กล่าวว่า ในส่วนของตน ผู้ต้องหาได้ร่วมกับโปรโมเตอร์มวยรายหนึ่งทำการจัดแข่งขันมวย ซี่งทางโปรโมเตอร์ได้มาขอยืมเงินจำนวน 4 แสนบาท เพื่อใช้ในการจัดรายการมวย ต่อขอยืมเงินเพิ่มอีก 6 หมื่นบาท อ้างว่าจะให้รถฟอร์จูนเนอร์ แต่ตนได้ปฏิเสธไป เพราะยังไม่ได้เงิน 4 แสนคืนแต่อย่างใด
ด้าน พ.ต.อ.อภิชาติ เรนชนะ ผกก.2 บก.ปคบ. กล่าวว่า จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ แต่ให้ข้อมูลอ้างว่าทำธุรกิจในรูปแบบบริษัท แต่จากการตรวจสอบ พบว่ายังไม่มีการจัดทำเอกสารจัดจ้างที่ชัดเจน เชื่อว่าเป็นการจัดตั้งบริษัทบังหน้า และผู้ต้องหายังอ้างว่าทุกคนได้ประโยชน์จากสิ่งที่ทำ สามารถนำปุ๋ยไปใช้ได้ ซึ่งเรื่องของปุ๋ย 1 ตัน ตำแหน่ง, บัตรเงินสด และรถประจำตำแหน่งนั้น ผู้เสียหายทุกคนยืนยันว่าไม่ได้รับสักอย่าง แต่ทางผู้ต้องหาอ้างว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะได้รับ นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ จ.เพชรบูรณ์ ทราบว่าจะมีการแจกปุ๋ยแก่ผู้ร่วมลงทุน จึงสั่งการให้ตรวจยึดมาตรวจสอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการตรวจพิสูจน์ ซึ่งฉลากปุ๋ยดังกล่าวมีการแจ้งว่าเป็นฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นสารเติมเต็มสูตรปุ๋ย ไม่มีธาตุอาหาร ซึ่งหากไม่ใช่ปุ๋ยอินทรีย์ตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง จะเข้าข่ายความผิดเรื่องการขายปุ๋ยอินทรีย์ปลอม
ส่วนเรื่องการแอบอ้างเบื้องสูงนั้นยังไม่พบแต่อย่างใด
พ.ต.อ.อภิชาติ กล่าวอีกว่า ส่วนในเรื่องเส้นทางการเงิน พบว่ามีการโอนเงินเข้าไปยังบัญชีที่รับโอนเงิน 3 บัญชี รวมประมาณ 15 ล้านบาท และได้ทำการอายัดบัญชีแล้ว แต่มีเงินคงเหลือในบัญชีเพียงหลักหมื่นบาท ซึ่งตนเป็นห่วงผู้เสียหายที่อยู่ต่างจังหวัด ขณะนี้ทราบว่ามีการเข้าแจ้งความที่สภ.เมืองพัทลุง 13 ราย และสภ.เมืองสุโขทัยอีก 1 กรณี แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้เสียหายมักจะไม่รู้ตัวว่าถูกหลอก ซึ่งทางพนักงานสอบสวนจะนำตัวผู้ต้องหาส่งฝากขังศาลอาญา โดยคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีสูงและมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก รวมถึงจะมำการสอบปากคำสมาชิกในองค์กรของผู้ต้องหาต่อไป
//////////