จับร้านค้าจริง ร้านค้าปลอม สร้างซิมผี ส่งต่อแก๊งสแกมเมอร์
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม, พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์, พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ป., พ.ต.อ.ปทักษ์ ขวัญนา
รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ, พ.ต.ท.อรรถวิทย์ สุขทัศน์, พ.ต.ท.เอนก บุญตา, พ.ต.ท.กิตติพงษ์ ศิลาพันธุ์, พ.ต.ท.ชนะ ขำทอง รอง ผกก.4 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ รอง ผกก.4 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม
ร่วมกันจับกุม
1.น.ส.ธันยพรฯ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5383/2568
2.น.ส.กัญญรัชฯ อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5382/2568
3.นายนายจอคึฯ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5379/2568
4.นายสงกรานต์ฯ อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5380/2568
5.นางพลาพรฯ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5381/2568
6.นางกมลพรฯ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5386/2568
7.นายสมใจฯ อายุ 60 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5516/2568
ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา” พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ “เป็นธุระจัดหา โฆษณา
หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มีการซื้อ หรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้” ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปรามปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สถานที่จับกุม พื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก, อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
ด้วยศูนย์ AOC ตำรวจสอบสวนกลาง ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลกลุ่มคนร้ายที่มีผู้เสียหาย
แจ้งความไว้ในระบบแจ้งความออนไลน์ (TPO) ในช่วงต้นปี 2568 พบว่าคนร้ายมีการใช้วิธีการ ส่ง SMS
เป็นลิ้งมาหลอกลวง หรือบางราย คนร้ายใช้การโทรศัพท์ อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หลอกให้โอนเงิน ฯลฯ
ศูนย์ฯจึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ กับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ พบเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนโดยตัวแทนจำหน่าย (Retailer) จำนวนมากมีการลงทะเบียนไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น รูปถ่ายผู้ใช้งานขณะลงทะเบียน ไม่ได้ถ่ายจากคนจริง แต่ถ่ายจากภาพถ่ายในโทรศัพท์, ข้อมูลการกรอกเลขประจำตัว ไม่ตรงกับภาพถ่ายบัตรประจำตัวที่ใช้สมัคร อีกทั้งยังพบว่า ภาพถ่ายบัตรประจำตัว ไม่ได้ถ่ายจากเอกสารตัวจริง แต่ถ่ายจากกระดาษถ่ายเอกสารสี
กก.4 บก.ป. ได้ทำการตรวจสอบข้อมูล ร้านค้าที่เป็น Retailer บางส่วนในพื้นที่ จ.ตาก และ
จ.พระนครศรีอยุธยา พบข้อมูลการลงทะเบียนจำนวนมาก และพบว่าเบอร์โทรดังกล่าว ถูกแจ้งความในระบบแจ้งความออนไลน์ถึง 531 เคสไอดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 15 ล้านบาท
ต่อมา เดือน กุมภาพันธ์ 2568
กก.4 บก.ป. ได้เข้าทำการตรวจค้น ร้านค้า ในพื้นที่ จ.ตาก จำนวน 7 จุด โดยในการตรวจค้น ไม่พบซิมที่ลงทะเบียนไว้แล้ว แต่ได้ทำการสอบปากคำเจ้าของร้าน ลูกจ้าง และคนที่เกี่ยวข้องไว้ หลังจากนั้นจึงได้ร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน ต่อมาได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐาน
และขอศาลอนุมัติหมายจับจำนวน 8 หมายจับ (อยู่ต่างประเทศ 1 หมาย) ซึ่งสามารถติดตามจับกุมได้
7 หมายจับ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการซักถามเบื้องต้น บางส่วนให้การรับสารภาพ อ้างว่าเพื่อความสะดวกของลูกค้าที่มาซื้อ
บางส่วนให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ลงทะเบียน มีคนเอารหัสของตนเองไปใช้ หลังจากที่มีการตรวจค้น
และจับกุม ศูนย์ ศปอส.ตร. ได้ทำการรวบรวมข้อมูล เบอร์โทรศัพท์ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้งานหลอกลวงประชาชน และมีผู้เสียหายแจ้งความในระบบแจ้งความออนไลน์ (TPO) ในช่วงเดือน สิงหาคม – ตุลาคม 2568 ยังคงพบว่ามีร้านค้าหลายร้านมีประวัติการลงซิมไม่ถูกต้องอยู่ แต่ไม่พบว่ามีเบอร์ที่ถูกลงทะเบียนไม่ถูกต้อง
ที่ถูกสร้างจากร้านค้าในพื้นที่ จ.ตาก (พื้นที่ติดชายแดน)
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น บางส่วนให้การรับสารภาพ อ้างว่าเพื่อความสะดวกของลูกค้า ที่มาซื้อ บางส่วนให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ลงทะเบียน มีคนเอารหัสของตนเองไปใช้
เตือนภัย การลงทะเบียนเปิดใช้งานซิมโทรศัพท์มือถือ ของร้านค้าย่อยที่สมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายกับศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ เป็นงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ร้านค้าก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ
ให้ครบถ้วน เพราะด้วยความไม่ใส่ใจของเจ้าของร้าน หากลงทะเบียนไม่ถูกต้อง ครบถ้วน จะมีผลทำให้
ไม่สามารถยืนยันตัวผู้ใช้งานจริงได้ ซึ่งจะกลายเป็นเครื่องมือของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นำไปใช้หลอกคนอื่น
“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน
ให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”









